หัวโขน เศียรครู และกฏระเบียบ


 

อนุโมทนาครับ


โอวาท อาจารย์หมอยา... เมื่อท่านก้าวปฏิบัติมาถึงขั้นนี้แล้ว ได้มีอาจารย์หมอยาเป็น ครูแนะนำสั่งสอน ซึ่งเป็นหนึ่งในครูทั้งห้า (ครูเทพเทวา ครูบาอาจารย์ ครูอบรมสั่งสอน ครูพักร์ ครูอักษร) ที่ นี่มิใช่ตำหนัก แลครูหมอยาก็มิใช่เจ้าตำหนักเข้าทรงลงเจ้าไม่เป็น เป็นได้แค่ผู้มีศรัทธา เชื่อมั่น ไม่สงสัย .... เป็นผู้ตั้งปนิธานไว้ว่า จะประกอบกิจช่วยเหลือให้วิทยาทานแก่ผู้เดินสายเทพ....  ผู้มาเป็นศิษย์ทั้งหลายขอจงยึดมั่นถือมั่นที่จะประกอบแต่คุณความดี มีใจรักสามัคคี ...... เป็นกัลยาณมิตรที่ดีต่อกัน.. ไม่หลงหรือยึดติดในฤทธิ์บารมี... จงรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน.. จงรู้จักลดละทิฐิ.. เคารพในครูทั้งห้าประการสืบไป ศิษย์ ทุกท่านที่ได้รับไปปฏิบัติ ด้วยจุดมุ่งหมายที่แตกต่าง บางท่านเพื่อความร่มเย็นเป็นสุขแก่ตนแลครอบครัว บางท่านกิจการหน้าที่การงานดี บางท่านเพื่อรับใช้เบื้องบน การขึ้นไปถึงจุดหมายอันสูงสุดนั้นยากแล้ว การรักษามาตรฐานของศรัทธานั้นยากกว่า จงรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน จงอย่าลืมตน จงอย่าหลงตนเอง จงรู้จักคำว่าขอขมา มีปนิธานว่าได้พบครูของตนแล้ว การกล่าวคำขอขมาลาโทษ ขออโหสิกรรม ซึ่งกล่าวได้ไม่ยาก สำหรับคนที่ไม่มีทิฐิ หากดำรงไว้ซึ่งทิฐิแลถือดีแล้วว่าตัวข้าเก่งกว่า ทำเองได้แล้ว ก็จะพบว่าตัวเองไม่ผิดอะไร ใยต้องกล่าวคำขอโทษ อาจารย์มุ่งหวังให้ทุกท่านที่เป็นศิษย์ มีความสามัคคี เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวเป็นคนดีของสังคม ไม่ดีจนเลอเลิศแต่ก็ไม่เลวจนก่อกรรมทำเข็ญ เอวังก็ด้วยประการเช่นนี้...

คุณสมบัตฺของผู้ที่จะมาขอรับเป็นศิษย์อาจารย์หมอยา
๑. ได้รับการตรวจองค์เทพจากอาจารย์หมอยาแล้วว่าเป็นผู้มีองค์เทพจริง ไม่มีผลข้างเคียงมาจากตำหนักเก่า อาการจิตปรุงแต่ง หรือเมายา
๒. ท่านเป็นผู้มีศรัทธา.. เชื่อมั่น.. ไม่สงสัย.. ในเทพเทวาของท่าน
๓.
ท่านเป็นผู้มีศรัทธา.. เชื่อมั่น.. ไม่สงสัย.. ในตัวอาจารย์หมอยา
๔. ท่านสาบานแล้วว่า.. จะมีจิตใจที่ดีงามต่อครูอาจารย์ ไม่มีจิตคิดหลอกลวงครู มาค้า-ขาย ท่านใดฝ่าฝืนเรียกว่า ผิดครูครับ
๕. ท่านสาบานแล้วว่า.. จะไม่ก้าวร้าว คิดเทียบบารมีครู บางท่านเป็นเจ้าตำหนักอยู่แล้ว คิดมาสร้างบารมีเรียกลูกศิษย์เข้าสำนักตัวเอง
ท่านใดฝ่าฝืนเรียกว่า ผิดครูครับ

๖. ท่านต้องไม่เป็นผู้ติดยาเสพติด ส่ารระเหย
ท่านใดฝ่าฝืนเรียกว่า ผิดครูครับ
๗. หากท่านไม่บรรลุนิติภาวะ ต้องได้รับการยินยอมจากผู้ปกครอง จึงจะได้รับการพิจารณา ท่านใดฝ่าฝืนเรียกว่า ผิดครูครับ
๘. หากท่านรับขันธ์ครูอาจารย์หมอยาแล้ว ยังมีความต้องการฤทธิ์เดช แอบไปกราบอาจารย์สำนักอื่นๆ ก็ไม่สมควรมารับขันธ์ครูครับ เพราะท่านเป็นผู้ไม่รู้จักพอ ไม่สมควรมารับขันธ์ครับ
ท่านใดฝ่าฝืนเรียกว่า ผิดครูครับ 
๙. การเป็นศิษย์เป็นครู รับขันธ์ อย่าทำเพราะถูกชักชวน ชักนำ หรือถูกหว่านล้อม กลบเกลื่อนบาปกรรมที่ตัวเองก่อ หากต้องการ โชคลาภ ไปดูดวง แก้กรรม ทำบุญไหว้พระ กับหมอดูมีอยู่ทั่วไป เป็นทางที่สามารถเลือกได้ครับ
๑๐. ท่านจะปฏิบัติ รับขันธ์ ขอให้เป็นทางเลือกสุดท้าย  จงอ่านบทความให้มากๆ จะเกิดปัญญา ถามตัวเองก่อนว่าจะรับขันธ์ทำไม
๑๑. ท่านที่มาด้วยความโลภ อยากได้ วิชา อยากรวย ไม่ต้องมาครับ

หลักในการปฏิบัติรับขันธ์ครูของอาจารย์หมอยา

สำหรับการรับขันธ์ครู จะรับเพียงครั้งเดียวจากมืออาจารย์ หากมีใจเคารพกันความเป็นศิษย์เป็นครูก็คงอยู่ชั่วนิรันดร์ ไม่จำเป็นต้องมาทุกปีเพราะมิใช่ตำหนัก ศิษย์ทุกท่านต้องไหว้ครูที่หิ้งบูชาของตัวเองเป็นสำคัญ เพื่อความเป็นสิริมงคล แลเทพเทวาท่านจะประสิทธิพรชัยให้ครับ การร่ำเรียนหรือเดินสายเทพ โดยไม่มีครู ไม่มีการครอบครู  เป็นสิ่งที่ไม่สมควรเพราะตัวผู้ฝึก อาจต้องธรณีสารแลอุบาทว์ติดกายได้ สำหรับงานไหว้ครูครอบครูของอาจารย์ ว่าง ไม่ว่าง มา ไม่มา ขึ้นกับจิตสำนึกของท่านครับ

การผิดครู

ตอบ  ๑. ต่อหน้าครูอาจารย์พูดจากร้าวร้าว ไม่มีสัมมาคาราวะ
       ๒. คิดว่าตนเองเก่งกล้ากว่าอาจารย์ ไม่ต้องแคร์ความรู้สึกอาจารย์
           สิ่งที่อาจารย์ทำ ตนเองก็ทำได้และดีกว่า (เทียบบารมีครู)
       ๓. เป็นศิษย์มีครู แต่ไม่ไหว้ครูที่หิ้งบูชาของตัวเอง
       ๔. พูดจาย่ำยีวิชาและครูอาจารย์ของตน
       ๕. บ้วนน้ำลายลงโถส้วม
       ๖. ประพฤติตนไม่เหมาะสม กินเหล้าเมายา พูดจาหยาบคาย
       ๗. ไม่เคารพหิ้งบูชาของตัวเอง
       ๘. ลักลอบเป็นชู้เมียชาวบ้าน หรือแย่งเมียศิษย์สำนักเดียวกัน
       ๙. ละเลยการดูแลขันธ์ของตนเอง
     ๑๐. เสพสิ่งเสพติดเช่น ยาบ้า เฮโรอีน ฝิ่น กัญชา ผิดกฏหมายบ้านเมือง
     ๑๑. ดื่มเหล้า เมาสุราในวันบวงสรวงเทพเทวา
     ๑๒. ล้างขันธ์ทั้งที่ครูอาจารย์ไม่มีผิดอันใด
    
๑๓. ขณะที่มีพิธีบวงสรวงเทพเทวา มีการขับโองการไหว้ครู ปี่พาทย์บรรเลงเพลงครู มีการเชิญครูรับเครื่องบวงสรวง ให้หมายว่าเชิญครูเทพเทวา มิใช่เป็นการเชิญร่างทรง ลงประทับกินเครื่องเซ่นท่านใดประพฤติเยี่ยงนี้ให้หมายว่าผิดครูครับ

****************************

หลักปฏิบัติทั่วๆไป

๑. เมื่อท่านเป็นศิษย์มีครูแล้ว สามารถไปงานไหว้ครูที่อื่นๆได้ไหม สามารถไปได้ครับ ไปฟังพราหมณ์หรือหมอขวัญ คนชุดขาวทำพิธีได้ครับ...ไม่ว่าจะเป็นตามวัดหรือตำหนักต่างๆ
๒. ท่านสามารถไปรับการครอบครูที่อื่นๆ นอกจากครูของท่านได้หรือไม่... คำตอบต้องว่าไม่สมควรนัก..... เพราะมิได้เป็นศิษย์เป็นครูหรือมีความนับถือกันมาก่อน.. เพราะก่อนที่ท่านจะกราบครูอาจารย์ของท่านยังใช้เวลาไตร่ตรอง ...กับการพบปะหน้างานแล้วครอบครูเลย ต้องถือว่าไม่สมควรทำครับ
๓. ขณะครอบครู ควรลืมตาหรือหลับตา ควรก้มศรีษะหรือไม่....... อาจารย์บางท่านก็บอกลืมตา อาจารย์บางท่านก็บอกว่าหลับตา.. อาจารย์หมอยาจึงมีโอวาทแก่ศิษย์ดังนี้ เพื่อพึงใช้ปฏิบัติเพื่อเป็นบรรทัดฐานสืบไปว่า หากเป็นงานปีของครูบาอาจารย์ของท่าน.. เมื่อท่านได้รับขันธ์ปราวณาตนขอเป็นศิษย์โดยมี ศรัทธา เขื่อมั่น ไม่สงสัยเป็นที่ตั้ง ดังนั้นแล้วขณะมางานไหว้ครู เมื่อมาขอรับการไหว้ครู ควรก้มหน้า หลับตาระลึกถึงครูอาจารย์ทั้งห้า การก้มหน้าเพื่อเป็นการแสดงความนอบน้อมต่อครูอาจารย์ มิได้เงยหน้าสบตาเพราะ ไม่มีกังวลอันใดว่าครูหรือผู้ที่ดำเนินการครอบครูจะทำการสะกดองค์ของท่าน มีจิตรักแลกตัญญู ไม่มุ่งหวังเทียบบารมีครู .... แต่ในส่วนของการไปครอบครูกับคนอื่นที่มิใช่อาจารย์ของตน หากหลีกเลี่ยงได้ก็พึงละเว้นเสีย นอกจากครูท่านนัั้นๆมีความคุ้นเคยกันมาก่อน ใน ขณะครอบครูให้ท่านลืมตาแลไม่ก้มศรีษะครับ
*

ครูรับศิษย์ลงเรือเพื่อไปส่ง            ศิษย์นั่งลงเต็มลำน้ำเชี่ยวไหล
คอยดูแลสอนสั่งระวังภัย              พายเรือไปเต็มความหวังสู่ฝั่งชล
ในระหว่างเดินทางกลางอรรณพ      ปัญหาพบมากมายหลายเหตุผล
ศิษย์หลายคนอยู่ไม่สุขบ้างซุกซน    บ้างพลัดหล่นลงไปในวารี
ครูเสียใจมิอาจช่วยด้วยความรัก       ปัญหาหนักเรียกมาพบเธอหลบหนี
คว้าไม่ทันจมหายสายนที              จำได้ดียังคิดถึงคนึงนาน
ใกล้ถึงฝั่งแม้เหนื่อยกายพายไม่หยุด  เร่งรีบรุดต้องคอยดูผู้โดยสาร
ครูส่งศิษย์สมประสงค์ตรงฝั่งธาร       ศิษย์เบิกบานเดินต่อครูพอใจ
ขออวยพรให้สมหวังดังที่คิด           พรประสิทธิ์แม้อยู่หนตำบลไหน
จะเรียนต่อหรือทำงานในด้านใด       ขอศิษย์ได้สัมฤทธิ์เหมือนจิตปอง
ครูพายเรือหันกลับรับศิษย์ใหม่        ด้วยดวงใจคิดถึงซึ้งหม่นหมอง
รับส่งศิษย์คงอยู่คู่ลำคลอง            ใจเรียกร้องรักศิษย์นิจนิรันดร์

อาจารย์วิทยา สุขันทอง ผู้ประพันธ์
อาจารย์ ขอขอบคุณและอนุโมทนาทุกท่านที่กด like ผ่าน facebook เพื่อเป็นกำลังใจครับ
หน้าแรก | ดูบทความทั้งหมด
# 36
By หมอยา
On 2017-07-24 20:09:26

อันตัวครูนับวันจะแก่เฒ่า........
หวังเห็นศิษย์เจ้าได้ดีมีศักดิ์ศรี.....
ขออย่าได้ประมาทหยามเหยียดครู...
ขอเพียงเศษเสี้ยวกตัญญูก็พอเพียง.... สาธุ

 

# 35
By หมอยา
On 2015-01-14 10:34:58

ฮินดู เป็นศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ในตอนแรกเริ่มเรียกตัวเองว่า ”พราหมณ์” ต่อมาศาสนาได้เสื่อมความนิยมลงระยะหนึ่ง ต่อ มาได้มีการชำระความ หลักธรรมและข้อขัดแย้ง จนในที่สุด ได้มีการยกเลิกศาสนา"พราหมณ์" สรุปออกมาเป็นศาสนาในการเรียกขานทั่วไปว่า "ศาสนาฮินดู" ครับ มีประวัติความเป็นมา มากกว่า 3000 ปี ดังนั้นจึงพบว่า ศาสนาพุทธเกิดในช่วงหลังศาสนาฮินดูก็ว่าได้ครับ ชาวฮินดูเชื่อว่า คัมภีร์พระเวทย์ นั้นได้สืบทอดทางพระฤาษีซึ่งรับการถ่ายทอดโดยตรงมาจากพระเจ้าหรือเทพเจ้า ครับ ในที่นี้ มี4พระเวทย์

1. ฤคเวท (Rigveda) เป็นคัมภีร์ที่เกี่ยวเนื่องกับบทสวดต่างๆ เพื่อสรรเสริญพระเจ้า ฤทธิ์เทวะและธรรมชาติ กล่าวถึงการสร้างโลก เป็นคัมภีร์ที่เก่าแก่ที่สุด มีบทสวดถึง 1,028บท
2. ยชุรเวท (Yajureda) เป็นคัมภีร์ที่เกี่ยวกับบทร้อยกรองบวงสรวงต่างๆ ใช้ในพิธีการบูชายัญที่เรียกว่า ยัญพิธีในทางศาสนา
3. สามเวท (Samveda) เป็นคัมภีร์ที่เกี่ยวกับกลศาสตร์รวมทั้งสังคีต บทสวดมนต์ สำหรับประกอบพิธีกรรมต่างๆ ของประชาชนทั่วๆ ไป
4. อาถรรพเวท (Atharvaveda) เป็นคัมภีร์ที่เกี่ยวกับเวทมนต์ คาถาต่างๆ

โดยแบ่งเป็นสองนิกายในศาสนาฮินดูคือ  โศวะนิกาย (นับถือพระศิวะเป็นหลัก)
                                                     ไวศณวะนิกาย (นับถือพระวิษณุเป็นหลัก)
โดยความเชื่อว่า พระเจ้าทั่งสองจะสามารถเชื่อมโยงมายังมนษย์โลกโดยการผ่านทาง
       พระพรหมา โดยการสร้าง   พระวิษณุ โดยการปกป้องรักษา พระศิวะ โดยการทำลายล้าง
ลักษณะของการปฏิบัตินั้น เน้นเรื่องพิธีกรรมต่างๆ เครื่องสังเวย บวงสรวง
.....................................................................................


# 34
By หมอยา
On 2014-06-18 00:32:08

ยันต์ลักษณะต่างๆ
ชื่อยันต์ (คลิกดูรูปยันต์) อิทธิฤทธิ์/อานุภาพ  ชื่อยันต์ (คลิกดูรูปยันต์) อิทธิฤทธิ์/อานุภาพ
  ยันต์รัตนตรัย  ชนะศัตรู, เมตตามหานิยม...    ยันต์ตะกรุดโทน  กันอันตรายจากอาวุธทุกชนิด
  ยันต์พุทธคุณ  คุ้มกันสารพัดภัย แคล้วคลาดจากอันตราย    ยันต์อาวุธทั้ง ๔  กันสารพัดภูตผีปีศาจ ถอนแก้คุณไสยทุกอย่าง
  ยันต์กันสะกด  กันอันตรายจากขโมย    ยันต์โภคทรัพย์  ใส่ไว้ในกระเป๋าเงิน ทำให้เงินพอกพูนเพิ่มขึ้น
  ยันต์มหาศิริมงคล  เป็นมงคลยิ่งนักและคุ้มภัยอันตรายทั้งปวง    ยันต์พญาหงส์ทอง  เมตตามหานิยม เป็นเสน่ห์ ทำให้ทุกคนรัก
  ยันต์ยอดมงกุฎ (ด้านหน้า)  แคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวง    ยันต์พญาราชสีห์  คนเกรงขาม เป็นตบะเดชะ มีอำนาจ
  ยันต์ยอดมงกุฎ (ด้านหลัง)  แคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวง    ยันต์พญาเสือ  คนเกรงขาม เดินป่าป้องกันสัตว์ร้าย
  ยันต์บารมีพระพุทธเจ้า  กันภูตผี ปีศาจ ป้องกันอันตรายทั้งปวง    ยันต์พญาหนุมาน  อยู่ยงคงกระพัน เมตตามหานิยม
  ยันต์มหาสาวัง  กันและแก้สารพัดโรคภัยและอันตราย    ยันต์ท้าวเวสสุวรรณ  กันภูตผีปีศาจทุกชนิด กันและแก้คุณไสย
  ยันต์เมตตามหานิยม (ด้านหน้า)  เป็นเมตตามหานิยม เป็นเสน่ห์ทำให้คนรัก    ยันต์นางกวัก  สำหรับค้าขายให้มีกำไรดี ร่ำรวยเงินทอง
  ยันต์เมตตามหานิยม (ด้านหลัง)  เป็นเมตตามหานิยม ทำให้คนหายโกรธ     ยันต์พระเจ้าเปล่งรัศมี  ไปไหนนำติดตัวไปด้วยทำให้คนรักใคร่
  ยันต์มหาอุด (ด้านหน้า)  คงกระพันชาตรี  เมตตามหานิยม     
  ยันต์มหาอุด (ด้านหลัง)  คงกระพันชาตรี  เมตตามหานิยม     
  ยันต์ห้ายอด  คุ้มกันภัยและอันตรายทั้งปวง     
  ยันต์การะเวก  สำหรับนักร้อง นักพูด นักเทศน์ วิเศษยิ่งนัก     
  ยันต์ตะกรุดมหาระงับ  เป็นยันต์นะจังงัง ยิง ฟัน แทงไม่เข้า         

                                                           ขอบคุณครับผม
 ตัวเลขกับลายสัก  การสักเป็นตัวเลขต่าง ๆ นั้น มีความหมายทั้งสิ้น เช่นการสักเป็น ตัวเลข ดังต่อไปนี้
เลข ๑ หมายถึง  คุณแห่ง พระนิพพาน อันยิ่งใหญ่
เลข ๒ หมายถึง  คุณแห่ง พุท โธ
เลข ๓ หมายถึง  คุณแห่งแก้ว ๓ ประการ ( พระรัตนตรัย ) และอีกความหมายคือพระไตรปิฎก
เลข ๔ หมายถึง  คุณแห่งมรรค ๔ ผล ๔, หมายถึงคุณแห่งพระโลกบาลทั้ง ๔, หมายถึงพรหมวิหาร ๔,
                          และหมายถึงพระฤาษีกัสสปะ
เลข ๕ หมายถึง  คุณแห่งศีล ๕
เลข ๖ หมายถึง  คุณแห่งไฟ หรือพระเพลิง, หมายถึงคุณแห่งพระอาทิตย์
เลข ๗ หมายถึง  คุณแห่งลม หรือพระพาย
เลข ๘ หมายถึง  คุณแห่งพระกรมฐาน, หมายถึงคุณแห่งศีล ๘, หมายถึงคุณแห่งพระอังคาร
เลข ๙ หมายถึง  คุณแห่งมรรค ๔ ผล ๔ พระนิพพาน ๑, หมายถึงคุณแห่งพระเกตุ
เลข ๑๐ หมายถึง  คุณแห่งครูบาอาจารย์, หมายถึงคุณแห่งอากาศ, หมายถึงคุณแห่งศีล ๑๐, หมายถึงคุณแห่งพระเสาร์ ๓๐ ทัศ
เลข ๑๒ หมายถึง  คุณแห่งมารดา, คุณแห่งพระคงคา, หมายถึงคุณแห่งพระราหูถ
เลข ๑๔ หมายถึง  คุณแห่งพระสังฆเจ้า
เลข ๑๕ หมายถึง  คุณแห่งพระจันทร์
เลข ๑๗ หมายถึง  คุณแห่งพระพุธ
เลข ๑๙ หมายถึง  คุณแห่งพระพฤหัสบดี
เลข ๒๐ หมายถึง  คุณแห่งพระเสาร์กำลังสอง
เลข ๒๑ หมายถึง  คุณแห่งบิดา, หมายถึงคุณแห่งพระธรณี, หมายถึงคุณแห่งพระศุกร์
เลข ๓๓ หมายถึง  คุณแห่งอักขระถ
เลข ๓๘ หมายถึง  คุณแห่งพระธรรมเจ้า
เลข ๓๙ หมายถึง  คุณแห่งพระแม่โพสพ หรือขวัญข้าว
เลข ๔๑ หมายถึง  คุณแห่งอักษร หรืออักขระ
เลข ๕๖ หมายถึง  คุณแห่งพระพุทธเจ้า
เลข ๒๒๗ หมายถึง  คุณแห่งศีล ๒๒๗


# 33
By หมอยา
On 2014-05-30 09:43:53

การกำเนิดของทวยเทพและวิญญาณ(the story of god and satellites) ในคัมภีม์มหาสีหนาทสูตรได้กล่าวไว้ว่า การกำเนิดของทวยเทพและพรหมล้วนอาศัยอำนาจแห่งกรรม เป็นการเกิดในภพแบบ โอปปาติกะ
       ความเป็นอยู่ของเทพไม่รับอาหารทางกายหยาบ ทุกสิ่งล้วนเป็นทิพย์ เนื่องด้วยเทพท่านเป็นการดำรงอยู่ด้วยกายทิพย์นั้นเอง
       ลักษณะทางสังคมของเทพ จะพบว่ายังมีเรื่องของโลกีย์ ในชั้น
จตุมหาราชิกา มีการเสพเมถุนแต่ไม่มีน้ำอสุจิ
มายา           ไม่มีการเสพเมถุน เป็นไปในลักษณะเคล้าคลอ กอดรัด
ดีสิตา           ไม่มีการเสพเมถุน เพียงแค่สบตา
ปริมิตสวัสดี     ไม่มีการเสพเมถุนเลย
***********************************

การรักษาโรคด้วยอำนาจจิต (psycho-therapy)แบ่งวิธีรักษาออกเป็น 2 ประเภท
๑. ตามหลักวิทยาศาสตร์ ทางจิตแผนใหม่ (modern psychology)
    ก. โดยการสะกดจิต( hypnosis) การเข้าไปในภวังค์จิต สั่งการให้เป็นไปตามต้องการ
    ข. ทางจิตบำบัด (psychotherapy) การบูชา ยึดมั่นจนเกิดศรัทธา เชื่อมั่น ไม่สงสัย

๒. การรักษาโรคด้วยจิตตามหลักโยคศาสตร์
    ก. รักษาด้วยพลังฝ่ามือ ของผู้ให้การรักษาไปยังผู้รับการรักษา
    ข. โดยการถ่ายทอดพลังลมปราณแก่คนไข้ เช่น
         ข.๑ เพ่งพลังจิตไปยังจุดที่ต้องการการบำบัดบนร่างกายของผู้รับการรักษา
         ข.๒ โดยพลังลมปราณผ่านไปยังน้ำเรียกว่าการอาบน้ำมนต์
หมาย เหตุ ในข้อ ข.๑ และ ข.๒ ผู้ที่จะปฏิบัติดังที่กล่าวในข้อนี้ ควรเป็นผู้ที่กำเนิดในฤกษ์เฉพาะ มีชีวิตหลังความตาย และมุ่งปฏิบัติในแนวทางนี้ชัดเจน เพราะผลกระทบ อุบาทว์ ธรณีสารอาเภทต่างๆจะย้อยกลับไปที่ตัวเจ้าพิธี หากเจ้าพิธีเรียนผูกมิได้เรียนแก้ จะพบว่า เริ่มมีปัญหาครอบครัว หนี้สิน คดีความ แท้ง และอื่นๆตามมาครับ
    หากเป็นพระ ผู้ทรงศีลหรือฤาษี ไม่นานจะต้องอาบัติ อาบัติมี ๗ อย่าง คือ
๑ ปาราชิก ๒ สังฆาทิเสส   ๓ ถุลลัจจัย  ๔ ปาจิตตีย์  ๕ ปาฏิเทสนียะ   ๖ ทุกกฏ    ๗ ทุพภาสิต


*************************************

อาจารย์หมอยาจะกล่าวถึง การปฏิบัติตนสำหรับการศึกษาข้อธรรมต่างๆ วิชาต่างๆ มีข้อหน้าสนใจหลักๆดังนี้
    การปฏิบัติจิตเข้าสู่ประตูพระนิพพาน ตามหลักวิปัสนากรรมฐาน the process of mind purification in buddhis meditation ผู้ที่มุ่งหวังปฏิบัติตามรอยพระพุทธองค์ สามารถยึดเอาเป็นแนวทาง ธรรมของพระพุทธองค์เป็นกลาง มิใช่ของผู้หนึ่งผู้ใดครับตามขั้นตอนต่างๆดังนี้
๑. ผู้ฝึกหรือผู้ปฏิบัติเป็นนักบวช คงต้องหาวัดที่มีเจ้าอาวาสที่เปี่ยมบารมีเป็นสถานที่ฝึกปฏิบัติ
๒. ผู้ฝึกเป็นฆราวาส สถานที่ปฏิบัติควรเป็นที่อยู่อาศัยของท่าน ในหนึ่งวันควรใช้เวลา 3-5-10-30-60 นาทีในการปฏิบัติระยะเวลาที่ใช้ ขึ้นกับผู้ปฏิบัติแล้วแต่ความเหมาะสม และเมื่อเสร็จกิจดังกล่าวควรเป็นเวลาที่ท่านเข้านอนครับ ปฏิบัติดังนี้เป็นวิธีการทางจิตบำบัดที่ดี(psychotherapy)
๓. สำหรับผู้มีจิตว่าจะสละทางโลกอย่างสมบูรณ์ ควรแยกตัวไปอยู่ไกลๆเช่นตามป่าหรือสถานที่สงบ ดังนั้นท่านสามารถเลือกแนวทางของท่านได้สามทางที่กล่าวมาครับ
๔. ควรอาบน้ำชำระกายให้สะอาดสดชื่น สามารถใช้หิ้ง ที่นอนเป็นที่ฝึกสมาธิได้ครับ การนั่งสมาธิที่แนะนำกันเป็นแบบขัดสมาสเท้าขวาทับเท้าซ้ายหัวแม้มือขวาจรด หัวแม่มือซ้าย หลังเหยียดตรงตามองตรง (buddha posture) บางท่านไม่สามารถนั่งได้ ด้วยข้อเข่าไม่สมบูรณ์ก็ให้นั่งในท่าที่สบาย หากนั่งแล้วรู้สึกเมื่อยขบก็ถือว่าเพียงพอแล้วไม่ควรฝืน หากฝืนไปอาจก่อให้เกิดอันตรายเช่น ตาตุ่มเท้าที่วางทับกัน อาจทับหรือกดเส้นเลือดเส้นประสาท ทำให้มีผลข้างเคียง อาจารย์หมอยาเคยไปบางวัดเจ้าอาวาสชอบนั่งสมาธิ นั่งๆไปนั่งมาเป็นง่อยครับเวลามานั่งในโบสถ์หรือทำพิธีต้องอุ้มมาครับ  ใหม่ๆงงครับว่าทำไมนั่งได้นานไม่ขยับไปไหน  หลังนั่งสมาธิแล้วควรนอนเหยียดตรง เพื่อผ่อนคลายร่างกาย การกำหนดลมหายใจเข้า-ออกเป็นที่ตั้ง
      ที่อาจารย์นำมากล่าวเป็นเพียงหลักเบื้องต้น สำหรับผู้นำไปปฏิบัติ มีประสงค์ให้ท่านทั้งหลายนำไปใช้ แต่ไม่ควรมุ่งมั่นจนมากเกินไปจนลืมว่าท่านยังไม่ได้ ทำกิจอื่นที่ค้างอยู่ เพราะในโลกของความเป็นจริงชีวิตต้องดำเนินต่อไปครับ
นเสาร์ที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๒ ขึ้น ๓ ค่ำเดือน ๒ ปีฉลู

อนุโมทนา ครับ ท่านสมาชิก เนื่องจากทางอาจารย์หมอยาและเวบองค์เทพดอทคอม ได้ให้บริการตรวจองค์เทพแลมีคำตอบให้ ในคำตอบนั้นบางท่านอาจเกิดความสงสัยจึงขอเรียนชี้แจงว่า  เจตนารมณ์ของเวบ
๑.ทำเพื่อบูชาครูเทพเทวาครูโหราศาสตร์
๒.อุทิศกรรมดีให้แก่..........
คุณพ่อเชืองเซ็ง แซ่หว่อง
คุณแม่เง็กลั้ง แซ่ก๊วย
ผู้ล่วงลับ ด้วยความอาลัยอาจารย์หมอยา เป็นแค่หมอดูจนๆท่านหนึ่งเท่านั้น บุญกุศลที่สามารถทำได้ก็คงเป็นเพียงวิธีนี้เท่านั้น ที่สามารถทำได้ตลอดเวลาไม่ว่าเวลาไหน
๓.เพื่อบันทึกแลศึกษาวิชาโหราศาสตร์ไทย ซึ่งลึกซึ้งแลสูงล้ำค่ายิ่ง ตามคำสอนของบรมครูว่า เรียนโหราศาสตร์นี่ต้องบันทึก แลศึกษาเพิ่มเติมเสมอไปครับ

คำตอบในการตรวจองค์เทพจะมีดังต่อไปนี้ตามผลงานวิจัยเบื้องต้น ซึ่งนับว่าเป็นงานต้นแบบเรียกว่า demo ซึ่งจะพยายามปรับปรุงให้สมบูรณ์ เท่าที่จะสามารถเป็นไปได้ครับ ตามกำลังเฒ่าชราผู้หนึ่งจะสามารถทำครับ ถูกใจท่านหรือขัดหูขัดตาท่านหนึ่งท่านใดก็ขอ ขมาต่อท่านนั้นๆ
๑.ท่านมีองค์เทพ แสดงว่า เป็นการมีองค์เทพที่เวลาท่านไปดูหมอที่ไหนหรือตำหนักเขาจะทักท่านว่า มีองค์เทพแต่ไม่ต้องรับขันธ์บางตำหนักก็จะให้ขึ้นขันธ์ครู ในกรณีนี้บางท่านจะมี วิญญาณบรรพบุรุษคอยคุ้มครอง หรือมีเทวดารักษาอยู่ครับ ขึ้นอยู่กับบุญเก่าที่ท่านสะสมมาในอดีตชาติด้วยครับ ต้องพิจารณาจุดนี้ด้วยครับ.... วิเคราะห์ได้ดังนี้ครับ
ก. ท่านยังไม่สมควรรับขันธ์ ให้ศึกษาบทความในเวบนี้ จะเข้าใจอะไรได้พอสมควรครับ อย่าด่วนรับขันธ์ทั้งๆที่ท่านยังขาดความรู้ความเข้าใจในการปฏิบัติ
ข. ผู้ที่จะรับขันธ์ครู ควรเป็นผู้ที่ได้ปฏิบัติและมีนิมิตกับองค์เทพ มาบ้างพอสมควร
ค. ผู้ที่จะรับขันธ์ครู ควรเป็นผู้ที่มีศรัทธา เชื่อมั่น ไม่สงสัย
ง. ผู้ที่จะรับขันธ์ครู ควรเป็นผู้ที่มีอาการรับรู้ สัมผัสหรือเห็น นิมิตต่างๆชัดเจน ไม่สบายวันพระวันโกนเป็นต้นครับ
จ. ผู้ที่จะรับขันธ์ครู ควรตรวจกรรมลิขิต หากท่านไม่ติดค้างการทำแท้ง เนรคุณ จึงสมควรรับขันธ์ครูได้ครับ
ฉ. ผู้ที่จะรับขันธ์ครู ควรมั่นใจว่าสามารถดูแลขันธ์ของตนเองได้

**************************************************

๒.ท่านมีองค์เทพชัดเจน แสดงว่า เป็นการมีองค์เทพ ที่เวลาท่านไปดูหมอหรือตำหนักทรง เขาจะทักว่ามีแลให้ท่านรับขันธ์ โดยระดับความมั่นใจในการทำนาย ของเจ้าตำหนักหรือหมอดูมีน้ำหนักมากกว่าลำดับที่๑ เป็นเครื่องช่วยในการตัดสินใจบาง ท่านอาจมีอาการขนลุก หรืออาการแปลกๆเหมือนจะอาเจียนและ อาการประหลาดอื่นๆ จนตัวเจ้าของเองก็แปลกใจ.....ในกรณีนี้ อาจมีวิญญาณบรรพบุรุษหรือเทวดามารักษา ก็ขึ้นอยู่กับกรรมดีในอดีตชาติส่งผลมาครับ ข้อควระวัง หากเป็นการมีวิญญาณติดตาม แลเป็นสัมภเวสี อาจมีการตัดสินใจเรื่องมีองค์เทพแลให้ท่านรับขันธ์ กรณีนี้ผู้รับคำทำนายจึงควรไตร่ตรองเพราะทางเวบได้เตือนไว้แล้วว่า ให้การรับขันธ์เป็นทางเลือกสุดท้าย โดยที่แยกแยะจนชัดเจนก่อนจึงจะไม่เกิดปัญหาภายหน้า   วิเคราะห์ได้ดังนี้ครับ
ก. ท่านยังไม่สมควรรับขันธ์ ให้ศึกษาบทความในเวบนี้ จะเข้าใจอะไรได้พอสมควรครับ อย่าด่วนรับขันธ์ทั้งๆที่ท่านยังขาดความรู้ความเข้าใจในการปฏิบัติ

ข. ผู้ที่จะรับขันธ์ครู ควรเป็นผู้ที่ได้ปฏิบัติและมีนิมิตกับองค์เทพ มาบ้างพอสมควร
ค. ผู้ที่จะรับขันธ์ครู ควรตรวจกรรมลิขิต หากท่านไม่ติดค้างการทำแท้ง เนรคุณ จึงสมควรรับขันธ์ครูได้ครับ
ง. มีโอกาสควรอาบน้ำมนต์ให้ครบสามครั้งในเวลาสามเดือนครับ
จ. ผู้ที่จะรับขันธ์ครู ควรมั่นใจว่าสามารถดูแลขันธ์ของตนเองได้
ฉ. ท่านควรมีศรัทธา เชื่อมั่น ไม่สงสัยครับ

 

***********************************

 

  ๓.ท่านมีองค์เทพแบบปฏิบัติ แสดงว่า เป็นการมีองค์เทพในแบบที่เจ้า ตัวเอง บางครั้งไม่ทราบมาก่อนว่าตัวเองมีองค์เทพ ในกาลต่อมาเมื่อตัวเอง ได้เข้าไปสัมผัสหรือเข้าพิธีกรรมบวงสรวง หรือเกี่ยวข้องกับร่างทรงตำหนัก ต่างๆ การได้ไปงานไหว้ครูครอบครูต่างๆ ก็จะเกิดอาการขนลุกหรืออาการแปลกๆเหมือนจะอาเจียนและ อาการประหลาดอื่นๆ จนตัวเจ้าของเองก็แปลกใจ..... ท่านเหล่านี้เมื่อได้ทำพิธีกรรมตามคำแนะนำ ก็สามารถทำการเดินสายเทพในรูปแบบที่ถูกที่ควรก่อน โดยยังไม่ควรด่วนรับขันธ์โดยพละการ ในกรณีนี้ อาจมีวิญญาณบรรพบุรุษหรือเทวดามารักษา ก็ขึ้นอยู่กับกรรมดีในอดีตชาติส่งผลมาครับ ข้อควระวัง หากเป็นการมีวิญญาณติดตาม แลเป็นสัมภเวสี อาจมีการตัดสินใจเรื่องมีองค์เทพแลให้ท่านรับขันธ์ กรณีนี้ผู้รับคำทำนายจึงควรไตร่ตรองเพราะทางเวบได้เตือนไว้แล้วว่า ให้การรับขันธ์เป็นทางเลือกสุดท้าย โดยที่แยกแยะจนชัดเจนก่อนจึงจะไม่เกิดปัญหาภายหน้า   วิเคราะห์ได้ดังนี้ครับ
ก. ท่านยังไม่สมควรรับขันธ์ ให้ศึกษาบทความในเวบนี้ จะเข้าใจอะไรได้พอสมควรครับ อย่าด่วนรับขันธ์ทั้งๆที่ท่านยังขาดความรู้ความเข้าใจในการปฏิบัติ

ข. ผู้ที่จะรับขันธ์ครู ควรเป็นผู้ที่ได้ปฏิบัติและมีนิมิตกับองค์เทพ มาบ้างพอสมควร
ค. ผู้ที่จะรับขันธ์ครู ควรตรวจกรรมลิขิต หากท่านไม่ติดค้างการทำแท้ง เนรคุณ จึงสมควรรับขันธ์ครูได้ครับ
ง. มีโอกาสควรอาบน้ำมนต์ให้ครบสามครั้งในเวลาสามเดือนครับ
จ. ผู้ที่จะรับขันธ์ครู ควรมั่นใจว่าสามารถดูแลขันธ์ของตนเองได้
ฉ. ท่านควรมีศรัทธา เชื่อมั่น ไม่สงสัยครับ

 

****************************************************

 

๔.ท่านมีองค์เทพชัดเจนแลแบบปฏิบัติ แสดง ว่า เป็นการมีองค์เทพในแบบที่เจ้าตัวจะมีอาการต่างๆเช่น จะเกิดอาการขนลุกหรืออาการแปลกๆเหมือนจะอาเจียน และอาการประหลาดอื่นๆ จนตัวเจ้าของเองก็แปลกใจ... อาจมีมาแต่ตอนเด็กหรือมาเป็น ตอนมีอายุมากขึ้นและจะเป็นมากขึ้นเรื่อยๆจนบางท่านหนักบ่า หนักต้นคอมีอาการครั่นเนื้อตัว ยามได้อาบน้ำมนต์ บางท่านจะมีอาการเหมือนองค์ลงหรืออื่นๆ บางชะตาฟ้าลิขิตให้ต้องรับขันธ์หรืออาจมีอานิสงน์ สามารถเปิดเป็นตำหนักช่วยคนในเวลาต่อมา.....ในกรณีนี้ อาจมีวิญญาณบรรพบุรุษหรือเทวดามารักษา ก็ขึ้นอยู่กับกรรมดีในอดีตชาติส่งผลมาครับ ข้อควระวัง หากเป็นการมีวิญญาณติดตาม แลเป็นสัมภเวสี อาจมีการตัดสินใจเรื่องมีองค์เทพแลให้ท่านรับขันธ์ กรณีนี้ผู้รับคำทำนายจึงควรไตร่ตรองเพราะทางเวบได้เตือนไว้แล้วว่า ให้การรับขันธ์เป็นทางเลือกสุดท้าย โดยที่แยกแยะจนชัดเจนก่อนจึงจะไม่เกิดปัญหาภายหน้า วิเคราะห์ได้ดังนี้ครับ
ก. ท่านยังไม่สมควรรับขันธ์ ให้ศึกษาบทความในเวบนี้ จะเข้าใจอะไรได้พอสมควรครับ
ข. ผู้ที่จะรับขันธ์ครู ควรเป็นผู้ที่ได้ปฏิบัติและมีนิมิตกับองค์เทพ มาบ้างพอสมควร
ค. ผู้ที่จะรับขันธ์ครู ควรตรวจกรรมลิขิต หากท่านไม่ติดค้างการทำแท้ง เนรคุณ จึงสมควรรับขันธ์ครูได้ครับ
ง. มีโอกาสควรอาบน้ำมนต์ให้ครบสามครั้งในเวลาสามเดือนครับ
จ. ผู้ที่จะรับขันธ์ครู ควรมั่นใจว่าสามารถดูแลขันธ์ของตนเองได้
ฉ. ท่านควรมีศรัทธา เชื่อมั่น ไม่สงสัยครับ

๕.การมีองค์เทพแบบกึ่งอวตาร(ลักษณะพิเศษ)สำหรับท่านที่ มีลักษณะเช่นนี้ จะพบเห็นได้จากการผูกดวงชะตาในระดับลึกมีการทำมุมกันในชะตาขั้นอุกฤต บางท่านจะชอบเจริญกรรมฐาน บางท่านจะไม่ชอบเลยลักษณะการดำเนินไปจะแยกเป็น ๒ทาง

๕.๑มีคุณสมบัติของคนมีองค์เทพแบบปฏิบัติรวมอยู่ด้วย  มี พลังบารมีที่ หากผู้มีองค์เทพและปฏิบัติมาดียามเมื่อเข้าใกล้พลังแห่งบารมีจะสามารถสัมผัส ได้ แลท่านนั้นยามปกติ จะดูเหมือนเม่อลอยหรือไม่เป็นตัวของตัวเองเต็มที่นัก...ลักษณะเช่นนี้ หมอยาพบเห็นได้จากเจ้าตำหนักหรือพระบางท่านจะมีลูกศิษย์ลูกหาเลื่อมใส ถวายตัวเป็นศิษย์รับขันธ์ บางตำหนักบางแห่งมีลูกศิษย์นับพันครับ ไหว้ครูได้ยิ่งใหญ่อลังการครับ

๕.๒มีคุณสมบัติของคนมีองค์เทพชัดเจน นับ ว่า เป็นผู้ที่มีคุณสมบัติแบบผู้มีองค์เทพอยู่แล้ว บางท่านสับสนหาจุดยืนมิได้ ด้วยอิทธิพลของดวงดาวบังคับ เป็นผู้ที่หาอาจารย์ของตนเองได้ยากครับ เป็นผู้คงแก่เรียนหรือชอบศึกษาหรือเสาะแสวงหาหรือชอบลองของ เพื่อหวังว่าวันหนึ่งจะพบผู้ที่สมควรแก่การมอบตัวเป็นศิษย์ หากพบเมื่อใดทางสายเทพของเขาผู้นั้นจึงสมบูรณ์  สำหรับท่านที่เข้าข่ายกฏข้อนี้ ส่วนมากเป็นชะตาสวรรค์กำหนดมักเป็นมากกว่าร่างทรงทั่วๆไปครับ

****************************

๖.การมีองค์เทพแบบอวตาร(ลักษณะพิเศษ) เป็น ผู้ที่มีองค์เทพสถิตย์อยู่เหนือเกล้า (องค์เทพท่านจะคงอยู่ในใจของเขาผู้นั้นเพราะเขาผู้นั้นเต็มเปี่ยมไปด้วย ศรัทธาอยู่แล้ว) เป็นผู้มีบุญเก่าหรือสั่งสมอภิญญามา มักไม่เข้ามาเกี่ยวกับการเปิดตำหนักแต่กลับไปเจริญสายกรรมฐาน วิปัสสนา บางท่านก็บวชเป็นพระเดินทางสายพุทธตามรอยพระพุทธองค์ จึงเห็นได้ว่าทางสายเทพมิได้แยกออกจากทางสายพุทธเลยสามารถปฏิบัติไปได้พร้อมๆกันครับสรุปในรูปแบบการตอบทั้ง๖ข้อ คงทำความเข้าใจให้ท่านได้ในระดับหนึ่ง สำหรับข้อ๒-๕ ทุกท่านสามารถ เปิดเป็นเจ้าตำหนักได้ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับรายละเอียดปลีกย่อยในเนื้อดวงประการสำคัญประการหนึ่ง เท่าที่พบมามีครับบางตำหนักที่หมอยา เองก็ยังยอมรับในองค์เทพเทวาของเจ้าตำหนักผู้นั้นครับว่าเปี่ยมด้วยเมตา หรือมีบารมีสูง หรือมีทั้งเมตตาบารมีครับแผ่นดินนี้กว้างใหญ่ เรื่องร่างทรงที่มีบารมีย่อมมีแน่นอนครับสุดท้ายนี้ แม้ท่านทั้งหลายที่มีร่างทรงองค์เทพ อย่างไรเสียเราก็เป็นพุทศาสนิกชน การทำบุญไหว้พระ การทำนุบำรุงศาสนาสวด มนต์ และถือศีลห้า ให้บกพร่องน้อยที่สุด จึงนับว่าประเสริฐแล ทุกอย่างที่ทำเพื่อความสบายใจแลเป็นสิริมงคล อย่าได้หลงในอิทธิฤทธิ์ จงกระทำโดยใจศรัทธาเป็นหลัก.....เรื่องที่นำเสนอในบทความนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โบราณว่าไว้ ฟังหูไว้หู ไม่เชื่อก็ขออย่าถือโทษโกรธเคืองตำหนิติเตียน..ให้เป็นที่เสียน้ำใจกันครับ.......

บุญรักษาครับ หมอยา

 

********************************************

 
sent: friday, january 15, 2010 7:15 pm
to:
subject: เรียนอาจารย์ยา
ผมขอความกรุณาจากอาจารย์ครับ
กราบเรียนท่าน อาจารย์ยาครับ  ผมเป็นคนนึงครับที่เชื่อในเรื่ององค์เทพ และ เทพเจ้าต่างๆครับ
ผม ชื่อ เรวัติ  ทองหล่อ    ครับ เป็นผู้หนึ่งครับที่ได้
ผ่านการรับขันธ์ มาโดยตลอดและเสริมบารมีมาทุกๆๆปี
ตั้งแต่ ขันธ์ 5 จนถึง ขันธ์ 9 แล้ว
แต่พอมาระยะหลังปี 2550 เป็นต้นมาครับ
อาจารย์ได้สิ้นลงหมายถึงร่างทรงของ พระปิยะมหาราช
ได้ดับสิ้นลง ก็ไม่ได้เสริมบารมีต่อมาอีกเลยครับ
ผมถึงอยากเรียน ถามอาจารย์ว่า จะมีปัญหาอะไรกับตัวผมบ้างหรือเปล่าครับหมายถึงในตัวผมและอาจารย์ท่านเก่า
ท่านเคยได้ดูไว้ว่าอีกหน่อยผมจะได้เป็นร่างทรง
จริงหรือเปล่าครับอาจารย์ยา
ช่วยตรวจให้ผมหน่อยนะครับ แล้วอาจารย์ว่าผมควรจะไปเสริมบารมีอีกหรือเปล่าครับอาจารย์

ตอบ อนุโมทนาครับ ...การเสริมบารมีควรมีครับ แต่ท่านจะ
       พิจารณาอาจารย์ท่านใดต่อ...คงต้องแล้วแต่ศรัทธา 
       ของ
ท่านเป็นหลักครับ.....
       บางท่านเมื่อมาถึงขั้น ขันธ์เก้า ย่อมมีบารมีพอสมควร
       อาจจัดพานเสริมบารมีหรือแต่งขันธ์ของตนเองใหม่..
       ตามนิมิตโดยจุดธูปบอกกล่าว ขออนุญาติต่อครูอาจารย์
       ที่ล่วงลับ หรือขอต่อองค์เทพเทวา ไปพร้อมกันทั้งสอง
       กรณี...ถ้าไม่อยากหาอาจารย์ใหม่นะครับ................

       เรียนทุกท่านที่มีองค์เทพทราบว่า การไหว้ครูที่หิ้งบูชา
       เป็นประจำทุกปีก็เป็นสิ่งที่ทุกท่านควรยึดถือปฏิบัติ....
       การไปงานไหว้ครูประจำปีของ อาจารย์ท่านก็ควรหา
       โอกาสไปครับ....

       ท่านมีองค์เทพชัดเจนแลแบบปฏิบัติครับ (๔,)
       ท่านรับขันธ์มานานจนถึงขันธ์เก้า คงเข้าใจเรื่อง
       การเป็นร่างทรงพอสมควร.......ว่าแล้วแต่วาสนา
       บารมีของแต่ละท่านครับ....
       ในส่วนของการบูชาองค์เทพ.. อาจารย์หมอยา....
       อยากให้ทุกท่านที่บูชาได้มีสิริมงคล..หน้าที่การงานดี
       ในชีวิตพบแต่สิ่งที่ดีงามครับ... หากมีทุกข์อันใดก็ขอ
       ให้มลายหายสิ้นครับ.. หมดเคราะห์หมดโศก........
       ปราศจากโรคภัย อันตรายทั้งปวง...

***************************************************

ศิษย์ไร้ครูเหมือนงูไร้พิษ.....
ศิษย์กตัญญูย่อมเจริญวัฒนาสืบไป
บุญรักษาครับ....ให้ท่านมีความสุข


sent: friday, january 22, 2010 10:17 am
to:
subject: รบกวนตรวงองค์เทพให้ด้วยค่ะ
สวัสดีค่ะหมอยาที่เคารพ
หนู จ.พิษณุโลก ค่ะ
หนูอยากทราบว่าหนูมีองค์เทพรึเปล่าคะ

ตอบ ท่านมีองค์เทพชัดเจนแลแบบปฏิบัติครับ. (๔)    

แล้วหนูปฏิบัติถูกทางรึยังคะ
ตอบ ท่านยังปฏิบัติไม่ถูกต้องครับ
หนูสวดมนต์ทุกวันค่ะ นั่งสมาธิด้วย แต่ยังไม่สงบเลยค่ะ
นอกจากนั้นหนูได้ถวายน้ำและดอกไม้ทุกอาทิตย์ค่ะ
ตอน นี้หนูรู้สึกกลัว เพราะช่วงสองสามวันมานี้รู้สึกเห็นแสงสีขาวที่หางตาด้านซ้ายบ่อยมากๆเลยค่ะ ฝันแปลกๆบ่อยๆ เหมือนมีคนมากระซิบข้างหูด้วยเมื่อคืนนี้เหมือนได้กลิ่นธูปด้วยค่ะ แล้วรู้สึกปวดหัวข้างเดียวเลยทำให้รู้สึกกลัว หนูคิดไปเองรึป่าวคะ เป็นลางดีหรือว่าไม่ดีคะตอนนี้รู้สึกเครียดมาก
ขอบคุณหมอยามากๆเลยค่ะ

ตอบ นิมิตไม่ท่านยังไม่ถูกต้องนัก กอปกับการนั่งสมาธิยัง
       ไม่ถูกต้องครับ.....ควรเน้นเรื่องการสวดมนต์ให้เป็น
       สมาธิก่อนครับ....ค่อยเป็นค่อยไปครับ... ต้นเนื้อนาบุญ
       ค่อยๆปลูกครับ..ผลที่ได้จึงงดงาม..สาธุการ

 ขอให้หมอยาและครอบครัวมีความสุข พรอันประเสริฐใดๆ
ขอให้เกิดแก่หมอยาและครอบครัวตลอดไปค่ะ

                                   ชินากร

ศิษย์ไร้ครูเหมือนงูไร้พิษ.....
ศิษย์กตัญญูย่อมเจริญวัฒนาสืบไป
บุญรักษาครับ....ให้ท่านมีความสุข
        หมอยา

****************************

เจ้าตำหนัก
อนุโมทนา ครับ  ... คำนี้มักคุ้นเคยในหมู่ร่างทรงหรือวงการ สายเทพ... คุณสมบัติของผู้ที่สมควรเป็นเจ้าตำหนักที่ควรพบ หรือมีในตัวของเจ้าตำหนัก วิเคราะห์จุดเด่นๆมาได้ดังนี้ ถึงไม่เป็นทั้งหมดก็ควรมีแนวทางหลักๆไว้พิจารณา
๑. มีความพร้อมทางร่างกาย มีสุขภาพร่างกายปกติซึ่งสามารถประกอบกิจทางพิธีกรรมต่างๆด้วยตนเองครับ
๒. มีความพร้อมทางจิตใจ
ก. ไม่มีปัญหาทางจิต(โรคจิต อุปทานหมู่) ตรวจโดยจิตแพทย์ หลักโหราศาสตร์ หรือได้รับการยอมรับโดยสังคมว่า พฤติกรรมเป็นปกติ
ข. มีจิตใจที่จะช่วยเหลือผู้อื่น หรือมีความปราถนาดีต่อคนรอบข้าง
๓. ผ่านการตรวจองค์เทพ แลพบแล้วว่ามีองค์เทพ 
๔. มีความประพฤติหรือพฤติกรรมที่ดี เป็นที่ยอมรับในสังคม
๕. ผ่านการรับขันธ์ บูชาเทพ
ก. มีการประทับหรือสื่อกับเบื้องบน
ข. มีการได้มาซึ่งภาษาเทพมาก่อน
๖. มีศรัทธา.. เชื่อมั่น .. ไม่สงสัย
ก. มิใช่คิดอยากเปิดตำหนักก็ทำ เบื่อไม่อยากทำก็อ้างว่า ไม่มีเวลาปิดตำหนักไว้เฉยๆ นานๆตัวเองถึงจะขึ้นไปไหว้ครูอาจารย์ที่หิ้งสักครั้ง
ข. สัจจะที่กล่าวว่าจะช่วยคน เมื่อหลุดจากปากยามเปิดตำหนัก ถือว่าท่านได้มอบกายถวายตัวเพื่อการนี้ ต่อเทวดาฟ้าดิน
ค. สามคำด้านบนเป็นสิ่งที่ท่านพึงยึดเป็นสรณะ ตราบยังมีลมหายใจ
๗. เป็นผู้เกิดใหม่ (ตายแล้วฟื้น โคม่า มาก่อน)หรืออุบัติเหตุอย่างหนักมาก่อน สิ่งนี้เป็นลิขิตสวรรค์ไม่สามารถกำหนดได้เอง
๘. มีวุฒิภาวะ วัยวุฒิ พอสมควร
๙. เจ้าตำหนักไม่ติดสุรา ของมึนเมา สิ่งเสพติด สีกา
----------------------------------------
      ปัญหาที่เจ้าตำหนักมักพบเจอ
๑. การลงประทับไม่แน่น กรณีนี้เรียกว่าบารมีไม่พอ
๒. การลงประทับแบบสลับร่าง กรณีนี้เรียกว่าบารมีไม่พอ
๓. เจ้าตำหนักเองต้องอวมงคล เกิดอาการเจ็บป่วยตามมา มักเป็นผลมาจากการรักษาหรือช่วยเหลือ ลูกศิษย์ที่มีทุกข์เช่น โดนคุณไสย์ โดนของ ต้องอุบาทว์มา หรือมีเจ้ากรรมนายเวรติดมา แลตัวเจ้าตำหนักเอง มิได้ทำการปัดอุบาทว์ออกจากกายครับ
--------------------------------------------


sent: thursday, october 18, 2012 9:00 am
to: ท่านอาจารย์หมอยา เว็ปองค์เทพ
subject: กราบท่าน่อาจารย์ยามเช้าค่ะ

กราบท่านอาจารย์ที่ เคารพอย่างสูงค่ะ ศิษย์ภคจิรา  ลำดับที่ 30 นะคะ  คิดถึงท่านอาจารย์เป็นที่สุดค่ะ  ....  พร้อมกับมีข้อสงสัยอยากเรียนสอบถามท่านอาจารย์หลายประการค่ะ

1   ในจิตใจตอนนี้ว้าวุ่นสับสนเกี่ยวกับเรื่องอารมณ์ค่ะ  เป็นอารมณ์ของความชิงชัง เคืองแค้น เจ็บปวด  รังเกียจเดียดฉันท์ ของผู้ที่กระทำการให้เจ็บช้ำน้ำใจ  ผู้ที่มีนิสัยเห็นแก่ตัว เลวทรามต่ำช้า  ผู้ที่ตีสองหน้า กลับกลอก หน้าไหว้หลังหลอก  อย่างรุนแรง  จนมิอาจข่มลงได้ เป็นเวลาหลายวันหลายคืนแล้วค่ะ  ตั้งแต่ก่อนกินเจเสียอีก  จนกระทั่งเช้าวันแรกของการกินเจก็ระงับไม่อยู่ถึงกับว่ากล่าวบุคคลดังกล่าว ออกมาด้วยถ้อยคำรุนแรงกับคู่สนทนาที่สนทนากันถึงเรื่องของบุคคลผู้นี้  รวมทั้งยังนึกอยากระบายออกมาทางหน้าเฟซบุคหมือนที่หลาย ๆ คนกระทำกัน

2   ระดับความรุนแรงมากเสียจนนึกอยากกระทำการบางอย่างที่ผู้ตั้งสัจจะวาจาว่าจะช่วยเหลือเมตตาเพื่อนมนุษย์มิควรทำ

3   เช้าวันนี้ ได้เห็นข้อความบนโพสต์ของน้องกฤษณกร  ถึงเรื่องของการเปลี่ยนสายญาณจากบุญญฤทธิ์ เป็นอิทธิฤทธิ์ว่า "เป็นไปได้ไหมที่จู่ๆสายบุญฤทธิ์จะแปรเปลี่ยนเป็นสายอิทธิฤทธิ์งงและสับสน มากๆ t^t ใครพอรู้บ้างวานบอกหน่อยคับ" จึง สงสัยว่า เป็นไปได้จริงใช่หรือไม่  และศิษย์กำลังเป็นไปเช่นนั้่นใช่หรือไม่  เนื่องจาก เคยเจอเหตุการณ์ที่ทั้งรุนแรงกว่านี้  ทั้งเบากว่านี้  ทั้งเขาตั้งใจและเขาไม่ตั้งใจ   ก็ยังสามารถปล่อยวางและอโหสิกรรมได้จนเป็นปรกติวิสัย

4   เป็นไปได้หรือไม่ที่จะถูกจิตฝ่ายต่ำ หรือสัมภเวสีเข้าครอบงำ

5   ระดับความรุนแรงเช่นนี้ ต้องทำอย่างไร จึงจะสามารถขจัดไปได้  ... เนื่องจากแม้จะสวดมนต์นั่งสมาธิก็ไม่สามารถควบคุมได้

6   เกิดอะไรขึ้นจึงเป็นไปเช่นนี้  ทั้งที่ก่อนหน้านั้น  ชีวิตกำลังได้รับความเมตตาจากเบื้องบน จัดที่จัดทางให้เข้ารูปเข้ารอยของความสุขความเจริญ

ขอท่านอาจารย์ได้โปรดเมตตาชี้แนะสั่งสอน ..... 

รักและเคารพท่านอาจารย์เสมอ

ภคจิรา

ตอบ อนุโมทนาครับ เป็นคำถามที่ดีมากๆครับ อาจารย์วิเคราะห์และอธิบายดังนี้ครับ
ตอบคำถามข้อที่ ๑.ความ รัก โลภ โกรธ หลง เกิดกับทุกท่านครับ มากน้อยแล้วแต่กรณี ที่ท่านมีความรู้สึกคล้อยตามไป เพราะท่านมีความรู้สึกผูกพันเช่นเป็นคนที่ท่านเคยรัก เคยร่วมงาน หรือสนิทสนม เมื่อมีผลกระทบจากการกระทำจึงทำให้ท่านผิดหวัง เสียใจ โกรธเคืองครับ วันใดที่ท่านไม่รู้สึกโกรธ แสดงว่าเขาได้ตายจากใจท่านอย่างถาวรครับ  สำหรับเรื่องเฟสบุคจะพบเห็นว่ามีคนใช้เป็นช่องทางระบาย บางคนก็ออกมาแบบหยาบคาย ในเฟสของอาจารย์ก็เคยมีลูกศิษย์บางท่าน อยู่ๆก็โพสด่าศิษย์กันเอง โดยไม่ไต่ถามหรือสอบถาม ความจริง ถ้อยคำเสียดสี หยาบคาย ซึ่งอาจารย์ได้ลงโทษโดยลบออกจากทะเบียน การกระทำแบบนี้นับว่าไม่สมควร เป็นการประจานตัวเองครับยิ่งด่าเขาเรายิ่งเจ็บครับ เฟสบุ้ค ผู้สร้างคงหวังให้เป็นการสร้างสรร มากกว่าจะเป็นสื่อไว้สำหรับด่ากัน
ตอบคำถามข้อที่ ๒. สิ่งที่ท่านกล่าวมา ตัวอาจารย์ก็เคยเป็นครับ การมีสติไตร่ตรอง ไม่ยึดติด ปล่อยวางจะช่วยท่านได้มากครับ เพราะปัจจุบันนี้คนที่ทำเลวบริสุทธิ์ กลับไม่รู้สึกว่าตัวเองเลวมีถมไปครับ
ตอบคำถามข้อที่ ๓. จำแนกดังนี้ การเปลี่ยนสายญาณ วิเคราะห์ว่า บางท่านกำเนิดมามี องค์เทพเป็นสองสายญาณ แรกเมื่อเริ่มปฏิบัติ สัมผัสกับสายญาณแรกอาจเป็นทางอิทธิฤทธ์หรือบุญฤทธิ์ ก่อนแล้วแต่บุคคล เรียกว่าองค์นำ แล้วจึงเปลี่ยนเป็นองค์หลัก อีกสายญาณหนึ่งในเวลาต่อมา หรือออกมาในลักษณะทั้งบุญฤทธิ์และอิทธิฤทธิ์ควบกัน ครับ ไม่เกี่ยวพันกับคำถามสองข้อแรกครับนั่นเป็นเรื่องของอารมณ์ ริษยากับอริในใจครับ
ตอบคำถามข้อ ๔.๕.๖. เป็นไปได้ครับ ที่จิตมารเข้าแทรกครับ ส่วนมาก ที่จะเกิดลักษณะอาการเช่นนี้ มาจาก
     ผู้ปฏิบัติ เป็นศิษย์หลายครู มีความมุ่งหวังในการปฏิบัติเพียงเพื่อ สนองตัณหาแห่งตน เพื่อเป็นบันใดสู่ความเป็นเลิศเป็นหนึ่ง ไปหลายสำนัก ไปถึงมักลงประทับ การประทับมิใช่เพียงเพื่อเสริมบารมีบูชาครูอาจารย์ แต่มักเป็นในลักษณะเบ่งบารมี เรียกศิษย์เข้าหา นานวัน เมื่อพ่ายต่ออารมณ์ตนเอง จิตมารเข้าแทรกก็กลายเป็นสัมภเวสี ผีกะ ดังที่บางเวบได้กล่าวประณามครับ
     ผู้ปฏิบัติ เป็นผู้ที่รับขันธ์เข้าปีที่สาม สาเหตุ มักมาจากการได้ปฏิบัติมาระยะหนึ่ง บังเกิด บุญบารมี เริ่มมีผู้เลื่อมใสศรัทธา จึงเกิดอาการหลงผิด กราบใครไม่เป็นแม้กระทั่งครูอาจารย์ของตน แรกๆก็กราบลงพื้นด้วยศรัทธา พอเก่งแล้วยกมือไหว้เฉยๆก็มีครับ
    ผู้ปฏิบัติ หากสามารถผ่านเรื่องศิษย์หลายครู ขันธ์ปีที่สาม และยังมีความเป็นตัวของตัวเอง เคย อ่อนน้อมถ่อมตนก็เป็นเหมือนเดิมมีจิตใจที่ปฏิบัติด้วยความมีศรัทธา เชื่อมั่น ไม่สงสัย ดังเช่นที่รับขันธ์ครูวันแรก เป็นดังนี้แล้ว สิริมงมลย่อมบังเกิดครับ

**************************************

 

ความในใจของคณะผู้จัดทำ

ท่านที่เข้ามาขอรับการตรวจองค์เทพจะเห็นว่า การทำนายของเวบนี้...เป็นของฟรี...ก็มีมากครับ
๑ ท่านที่กระทู้เข้ามาส่วนมากมีการรับขันธ์หรือ ได้รับการทักทายมาจากที่ต่างๆเป็นทุนเดิมครับ
๒ ท่านเหล่านั้นมาหาความมั่นใจเพิ่มเติมรับ
๓ เท่าที่ผ่านมาเมื่อท่านเหล่านั้นได้รับคำทำนาย ก็หาได้ปักใจเชื่อไม่ว่ามีองค์เทพดัง ที่ตอบไปครับ จึงไปต่อ ยอดยังที่อื่นๆ เมื่อ ได้ประจักแก่ตนเองแล้วจึง มีเมล์ มาบอกกล่าว ขอบคุณก็มีอยู่เสมอครับ
๔ เนื่องจากว่าเป็นการตรวจฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย บางท่านเลยคิดต่อว่าหรือดูแคลนครับ หากคิดเงิน ท่านก็ว่าหวังอยากได้หรือหลอกลวงครับ การทำความดีบางครั้งก็ยากครับ
๕ มั่นใจได้เลยครับว่าตั้งใจตรวจให้ทุกท่านครับ

๖ กรุณาอย่าถามว่า เทพอะไรคงต้องขออภัยครับไม่ทราบว่า จะแนะนำเช่นไรครับ เพราะต้องใช้ การคำนวณในทางโหราศาสตร์ซึ่งมีขั้นตอนยุ่งยากพอสมควร และจะเป็นที่ ครหานินทาและเข้าใจผิดกันได้ครับ ขออย่าได้ถือโทษโกรธเคืองนะครับ
๗ หมอยาไม่ได้เปิดตำหนักหรือเป็นคนทรงแต่อย่างไรครับ จึงไม่ส่วน ได้เสียในการ บูชาเทพของท่านครับ
๘ บางท่านมีถามเข้ามาแบบว่าชี้นำว่าตนเองมี และหมอยาว่าไม่มีก็มีครับ
๙ หมอยาได้อธิฐานตนตอนรับขันธ์ต่อครูอาจารย์ว่า ขอให้ดูดวงแลตรวจองค์มีความเที่ยงตรง ขอเจริญในองค์เทพองค์ญาณครับ ..บุญกุศลที่ได้ อาจารย์หมอยา ขออุทิศให้แก่ คุณพ่อคุณแม่ ท่านอาจารย์แก้ว จันทร ครูเทพเทวา ครูพ่อปู่ฤาษี ครูบาอาจารย์ ครับ

หาก หมอยาทำนายว่าท่านมีองค์เทพแต่องค์เทพไม่เปิดหรือหวง ร่างเช่นนี้จะง่ายแก่ผู้ทำนายและไม่ต้องถูกท่าน สงสัยเป็นการโยนความรับ ผิดชอบไปไว้ที่ตัวเจ้าของดวงครับ  ความ เป็นไปได้อีกประการคือเมื่อได้ทำการขับดาว ของท่านถอยหลังเพื่อดูบุญบารมี..หากท่านมีบุญ บารมีสูง..อาจวิเคราะห์เป็นสาเหตุว่าการมีเทพ ของท่านเป็นกรณีพิเศษแต่มิใช่ผู้มีองค์เทพครับซึ่งกรณีนี้..หากผู้ทำนายเห็นลักษณะการวางดวง ก็จะทำการขับดาวหรือแจ้งให้ท่านไปทำการผูก ดวงชะตาให้เป็นเรี่องเป็นราวครับ

 เมื่อท่านได้มาตรวจองค์เทพในเวบนี้แล้ว...ได้รับคำตอบว่าท่านมีองค์เทพ ข้อควรปฏิบัติเบื้องต้น
๑. ท่านสามารถไปขอรับการตรวจองค์เทพเพิ่มเติม... ได้จากเวบไซต์อื่นๆที่ให้บริการ.. หรือการตรวจในลักษณะอื่นๆ สิ่งที่ควรทำ ไม่สมควรพาดพิงเวบองค์เทพดอทคอม.. เพราะท่านได้ทำการสาบานไว้ เมื่อมาขอรับการตรวจเบื้องต้นแล้ว เพราะผลแห่งการกระทำในความอยากรู้ อาจส่งผลเสียให้เกิดการแตกความสามัคคีได้ครับ
๒. ให้ทำการศึกษา หาข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งทางเวบองค์เทพดอทคอม ก็มีข้อมูลต่างๆมากพอสมควร
๓. บางท่านใจร้อนรีบไปรับขันธ์..ถือว่าไม่สมควรอย่างยิ่ง
๔. ขอให้ทุกท่านเริ่มต้นด้วย ใจอันเป็นกุศล มี ศรัทธา เชื่อมั่น แลไม่สงสัยครับ
๕.
สำหรับ ผู้ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ อายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ตามกฏหมาย ควร มีผู้ปกครองชี้แนะเพราะ เจ้าชะตาอายุยังน้อยอาจตัดสินใจหรือรับขันธ์ทั้งที่ยังไม่พร้อม หรือไปรับขันธ์ผิดได้ครับ ด้วยทั้งยังขาดวุฒิภาวะ ประสบการณ์ชีวิต วิสัยทัศน์ และหลงตนเองว่ามีฤทธิ์มีเดชไปเที่ยวลองของผู้อื่น
ลำดับต่อมา... เป็นจุดประสงค์หรือเป้าหมาย ในการเดินสายเทพของท่านว่ามีเช่นไร
๑. อยากเป็นร่างทรง เป็นผู้วิเศษ
๒. อยากหายอาการเจ็บไข้
๓. อยากลบกรรมลิขิต โดยคิดว่าคนอื่นจะมองไม่เห็นกรรมนั้น
๔. อยากรวย
๕. อยากช่วยคน
๖. อยากมีเครื่องยึดเหนี่ยวให้เป็นคนดี
 
๗.อยากบูชาด้วย ศรัทธา.. เชื่อมั่น.. ไม่สงสัย

หลักการปฏิบัติเบื้องต้นของผู้มีองค์เทพ
๑ . งดหรือห้ามรับประทานเนื้อวัวควายตลอดชีวิต
๒ . ห้ามรับประทานเครื่องเซ่นบวงสรวงของคนอื่น (เครื่อง เซ่นบวงสรวง ของตัวเอง สามารถนำมารับประทานได้ครับ ของเซ่นไหว้บรรพบุรุษ หรือผีไม่มีญาติควรงดครับ เครื่องเซ่นที่ปักธูปดอกเดียว ควรงดครับ)

๓ . ห้ามรับประทานอาหารหรือของกินต่างๆในงานศพงานแต่งหากจำเป็นต้องไป ให้จุดธูปกลางแจ้ง ๑๖ ดอกบอกกล่าวขออนุญาติต่อองค์เทพ ที่ว่าไม่ควรกินอาหารที่งานศพ ด้วยเหตุว่า
       ๑. ไม่ทราบว่าสะอาดหรือไม่
       ๒. ถ้าไปงานแล้วอยู่ไม่กี่ชั่วโมง ให้ทานอาหารจากบ้านไปครับ
       ๓. ถ้าอยู่ช่วยงานทั้งวัน เวลาจะกินให้ตักไปกินนอกศาลาครับ ให้จุดธูปบอกกล่าวต่อเทพเทวาหรือพนมมือตั้งจิตอธิฐาน ว่ามีเหตุจำเป็นเพราะ ผู้ที่ล่วงลับเป็นญาติผู้ใหญ่ จำต้องร่วมงานและช่วยงานศพให้ลุล่วงด้วยดี เป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทิตา
๔ . สวดมนต์เป็นประจำ ชีวิตจะรุ่งเรือง (ให้เปิดตาสวดมนต์ การนั่งสมาธิเพียงให้ใจสงบ ห้ามหักโหม)
๕ . ก่อนที่จะไปทำการรับขันธ์ ต้องทำพิธีอาบน้ำมนต์ ๓ ครั้งก่อนหากดวงท่านต้องรับขันธ์หรือเดินสายเทพครับ  การรับขันธ์ อาจารย์หมอยา ขอให้เป็นทางเลือกสุดท้ายครับ
มีข้อคิดเตือนใจ สำหรับ(ผู้ที่มีองค์เทพครับ) คือการครองเรือนครับ ข้อควรปฏิบัติดังนี้
๑. หากจะมีวันพิธีสำคัญเช่นไหว้ครูบูชาเทพประจำปี ประจำหิ้งบูชาตัวเอง ให้ลูกศิษย์ทุกท่านถือศีลให้บริสุทธิ์อย่างน้อย๒วัน ก่อนวันพิธีครับนับวันพิธีเป็นวันที่สามครับ
๒. ในระหว่างการไหว้ครู บูชาเทพที่หิ้งให้ รักษาระดับจิตใจ และอารมณ์ให้นิ่งและสำรวม
๓. ตั้งจิตอธิฐานถ้าจะมา ขอให้มาด้วยบุญฤทธิ์ มาด้วยบารมี มาด้วยสง่าราศรีครับ
๔. นอกเวลาการบูชา ขอให้ทุกท่านจงอย่าหลงติด คือสามารถใช้ชีวิตเป็นปกติเช่นคู่สามี-ภรรยาโดยทั่วๆไปครับ 
๕. หากเป็นคู่สามี-ภรรยา ไม่อนุญาติให้แยกห้องนอนครับ ความ อบอุ่น ความใกล้ชิดจะหายไปครับ ให้ใช้ชีวิตตามปกติครับ (กรณีที่ร่างนั้นยังอายุไม่มาก จะเห็นได้ว่า หากขาดผู้ชี้นำปัญหาการครองเรือนมักตามมาด้วยความไม่เข้าใจกัน ระหว่างสามี-ภรรยา)
๖. สำหรับการเปิดตำหนัก ผู้ที่เปิดตำหนัก การรักษาวินัยและศีลย่อมต้องเคร่งครัดกว่าธรรมดาครับ เพราะท่านไปยุ่งกับชะตาของผู้อื่น
๗. สำหรับเจ้าตำหนักควรยึดหลักสามประการให้เป็นหลักเกณท์ในการปฏิบัติ
      ๗.๑ ไม่รักลูกศิษย์ (มีความสัมพันฉันท์ชู้สาว) ส่วนมาก มักพบปัญหานี้เสมอไม่ว่าเจ้าตำหนักจะหนุ่มหรือแก่ ดังนั้น จงระวังกาย ใจ ไว้เสมอ(ปาราชิก,สังฆาทิเสส)
      ๗.๒  ไม่โลภเรียกร้อง เงินทอง
      ๗.๓  ไม่โกรธถ้ามีผู้แนะนำตักเตือน
    ในท้ายที่สุด การบูชาเทพหรือปฏิบัติธรรม อาจารย์หมอยา ขอให้ศิษย์ทุกท่านได้ ประพฤติ ปฏิบัติในลักษณะสายกลาง ไม่หักโหมแต่ให้ดำเนินไปโดยสม่ำเสมอและมีศรัทธา เชื่อมั่น ไม่สงสัย แค่นี้ก็เป็นสุขได้ครับ เอวังก็มีด้วยประการเช่นนี้...สาธุการ
๘. ควรมีประคำประจำกายอย่างน้อย ๑ เส้น จะเป็นแบบใดแล้วแต่องค์เทพฃองแต่ละท่านครับ
๙.  เมื่อรับขันธ์มาปฏิบัติแล้วท่านเสพยา สารเสพติดเช่น ยาบ้า ยาอี ยาไฮ้ซ์
๑๐.ไม่ดื่มเหล้าในวันบวงสรวงเทพเทวา วันไหว้ครูของท่าน
๑๑.เมื่อ พราหมณ์หรือเจ้าพิธีกล่าวเชิญครูเทพบนสวรรค์มารับเครื่องบวงสรวง ร่างทรงไม่บังควรลุกไปหยิบเครื่องเซ่นบนโต๊ะ มากัดกิน ด้วยลีลาแปลกๆ เรียกว่าไม่รู้กาละเทศะครับ ท่านว่าผิดครูและจะเกิดอาเภทตามมาครับ
๑๒.คู่ สามี-ภรรยา หากผิดใจหรือทะเลาะเบาะแว้ง ไม่เข้าใจกัน มักเอาเรื่องของอีกฝ่ายที่นับถือเทพมากล่าวในทางเสียหาย ลบหลู่ดูหมิ่น ทั้งที่ไม่เคยคิดถึงสิ่งที่ตัวเองบกพร่อง จะต้องอวมงคล ธรณีสารครับ

-------------------------------------------

สิ่งที่ควรมีในผู้เดินสายเทพ
๑. ควรมีสัมมาคาราวะ รู้จักให้เกียรติผู้อื่น
๒. ควรมีการรู้กาละเทศะ ว่าอะไรควรไม่ควร ของแบบนี้ไม่เชื่อก็ไม่ควรลบหลู่ครับ

๓. ควรรู้จักการครองตน ไม่ใช่ว่าเรียนวิทยาคมไสย์เวทย์มาเก่งหรือปฏิบัติสายเทพมา ไปอวดอ้างหรือไปลองภูมิ ลองของคนอื่น เรียกว่าไม่ประมาณตน หากจะโปรดหรือช่วยผู้อื่นก็ขอให้เป็นไปโดยสุภาพชน ด้วยน้ำใจไมตรี
นี่เป็นบทความที่ดีมากของท่าน tada โอม สดา ศิเวศวร อิสี มุณี ปุญญะ
หลักแห่งการปฏิบัติที่พึงกระทำ

1.ย่อมไม่โอ้อวดตน
2.ย่อมไม่ละโมบ
3.ย่อมไม่อหังการ
4.ย่อมละทิฐิ
5.ย่อมมีเมตตาเป็นที่ตั้ง
6.ย่อมรู้จัก ละ ลด ปลด วาง
7.ย่อมไม่ขวนขวายในสิ่งอันมิชอบมาเป็นของตน
-----------------
สิ่งที่ไม่ควรปฏิบัติอย่างยิ่งเมื่อจะเดินสายเทพ
๑. ขอในสิ่งที่เกินตัวเช่น ขอรางวัลที่๑ ขอแจ็คพ็อต๔๐ล้าน แต่ตัวเองไม่ขอรับขันธ์ใดๆทั้งสิ้น ไม่ของเป็นร่างทรงหรือเปิดตำหนักช่วยคน.. เรียกว่าขอเฉยๆ
๒. ตัวเองติดกรรมลิขิตเช่น ทำแท้งแลยังมิได้มีจิตสำนึก จะขอขมาลาโทษ
๓. ยังมิได้อาบน้ำมนต์สามครั้ง... ก่อนการรับขันธ์
๔. บางท่านเป็นเจ้าตำหนัก.. กลับขอบารมีต่อฟ้าที่มากเกินวาสนาแห่งตน.. ยามลงทรงอาจมีการเฉือนลิ้นหรือแทงปาก..
๕. ตัวเจ้าของร่างเองยังมิได้มี จิตเลื่อมใสศรัทธา เชื่อมั่น ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะไปรับขันธ์ใดๆ
๖. ตัวเจ้าของร่างต้องคุณไสย์ อวมงคลต่างๆอยู่ก่อนแล้ว.. หากทำการรับขันธ์ เป็นไปได้สูงที่จะถูกสัมภเวสีเข้าสิงสู่.. มีบางเวบที่ด่าเรื่องขันธ์ผี .. คงต้องยอมรับว่า มีส่วนจริงครับเพราะเขาต้องการเตือน มิให้เข้ารับขันธ์โดยขาดการพิจารณาครับ
๗.การมุ่งมั่นมากเกินขีดจำกัด เช่น นั่งสมาธิกรรมฐานมากเกินไป สวดมนต์มากเกินไป ด้วยมุ่งหมายที่ฤทธิ์บารมีอยากสัมผัสกับการมีองค์เทพเกินขีดจำกัด
๘.บาง ท่านมาเดินสายเทพ คำแรกที่กล่าวคือ อยากเห็นผี อยากล่วงรู้อนาคต.. บางท่านเมื่อได้สัมผัสแล้วเสียสติก็มีครับ เช่นยกตัวอย่าง บางท่านไปเล่นเครื่องเล่นที่สวนสนุก เรือไวกิ้ง หรือตกหอสูง ใหม่ๆก็สนุกครับ พอไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ก็จะกรีดร้องไปเลย เครื่องเล่นเหล่านี้สามารถหยุดได้ แต่ถ้าเห็นผีหรือล่วงรู้แล้วไม่สามารถยุติได้ โปรดไตร่ตรอง
๙. การเห็นเรื่องเทพหรือสิ่งที่ผู้คนเขานับถือบูชา เป็นของเล่นสนุกๆ ขำๆ ลบหลู่ ความวิบัติจะเกิดกับบุคคลผู้นั้นครับ
๑๐. การสาบานแบบเพ้อเจ้อ หรือบนแบบพร่อยๆ เช่น กินเจตลอดชีวิต รวยหรือโชคดีแล้วจะกลับมาบูชา เรียกว่าพูดไม่คิด ขอให้ตนเองสมปราถนา ยามสวรรค์ลงโทษ จะสำรอกเอาสิ่งที่ตนเองกล่าวออกมา หรือล้วงเอาเลือดออกมาจากปากตัวเอง
ท่านใดยังติดใน๑๐ ข้อที่กล่าวมาขอให้ลดละเลิกไปเสียครับ
--------------------------------------
อาการของคนที่เริ่มจะเปิดองค์เทพ
๑. มีอาการเวียนศรีษะ หนาว-ร้อน เรอลมจากกระเพาะ เหงื่อออกมาก ขนลุก นอนหลับยาก หน้ามืดวิงเวียน
๒. ยามองค์เทพมาจะสื่อถึง กลิ่นธูป กลิ่นกำยาน กลิ่นหอมต่างๆ
๓. ยามสัมภเวสีมาเบียดบัง จะได้กลิ่นเหม็น กลิ่นสาปสาง(คนใกล้เคียงสัมผัสได้ครับ)
๔. ยามสัมภเวสีมาสิ่งสู่ หรือองค์เทพมาประทับมีลักษณะ อาการใกล้เคียงกัน แต่ลักษณะที่แสดงออกแต่งต่างกันโดยสิ้นเชิง (สัมภเวสีมา พูดจาหยาบคาย กินเครื่องเซ่นมูมมาม ลุก-นั่ง ไม่สำรวม บางคนนั่งเกาอวัยวะเพศตนเอง มีกิ่นเหม็นโชยมาจากร่าง เสพสุรา ร่ายรำไม่สำรวม)
๕. ร่างมีอาการผิดปกติ เสียขวัญ หรือคล้ายคนที่องค์ลงหรือเสียสติ เกิดจากการถูกลงโทษเพราะ ชอบบนบานศาลกล่าว ให้สัจจะต่อองค์เทพแล้วละเลยไม่ปฏิบัติตาม หรือไม่สามารถทำตามที่ให้สัจจะไว้
๕. ร่างมีอาการลงประทับแรง หรือควบคุมยาก มักเกิดจาก บารมีร่างรับไม่ทันกับองค์เทพ แก้ไขโดยการฝึกจิตให้เข้าถึงรักษาศีล สวดมนต์ รู้เท่าทันกิเลส ดำรงตนเป็นพุทธมามะกะ
ระงับความ โลภ โกรธ หลง ให้รู้จักพิจารณา ขันธ์๕ (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)ธาตุ๔ (ดิน น้ำ ลม ไฟ )

-------------------------------

พานครู ใช้เป็นเครื่องประกอบพิธีต่างๆ เช่น บวงสรวง ไหว้ครู ตั้งหรือถอนศาลเป็นต้น ส่วนประกอบ
๑. ธูป ๕ ดอก
๒. เทียนขาว ๕ เล่ม
๓. พวงมาลัยกร
๔. หมากอย่างน้อย ๕ คำ
๕. เงินกำนัลครู ๑๒ บาท

---------------------------------------------------------------------
ส่วนขันธ์ครู จุด ประสงค์ของขันธ์ครู...สำหรับท่านที่รับขันธ์มาแล้วได้ทำการล้างขันธ์มา เนื่องด้วยสาเหตุใดก็ตาม (เสื่อมศรัทธาในเจ้าตำหนักหรือผู้ประสิทธิ์ขันธ์) ควรขึ้นขันครูแทน โดยวิเคราะห์ดังนี้
๑. เพื่อเรียกขวัญของตัวเอง แลอยู่เย็นเป็นสุข มั่งมีศรีสุข
๒. เพื่อแสดงความกตัญญู ความเคารพต่อองค์เทพของตน
๓. เพื่อบูชาครูทั้ง๕ คือ ครูเทพเทวา  ครูอาจารย์ ครูอบรมสั่งสอน ครูอักษร ครูพักร์
๔. เพื่อเสริมสร้างบารมีแห่งตน
๕. สำหรับเจ้าตำหนักหรือผู้ที่ใช้วิทยาเวทย์รักษาคุณของผู้อื่นครับ
๖. เพื่อป้องกันเจ้าตำหนักเก่าหรือผู้ไม่หวังดีกระทำคุณไสย์ใส่
๗.เพื่อ เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของตัวเอง... ให้รู้จักหมั่นดูแลรักษาหิ้งพระหิ้งบูชา.. สวดมนต์ตามโอกาสเป็นการปูแนวทางเดินของชีวิต ให้ใกล้ชิดพุทธศาสนาสืบไป
(หาก ท่านมีครู แลมีประสงค์จะขึ้นขันธ์ครู เป็นสิทธิส่วนบุคคลครับ ไม่มีใครสามารถชี้นำท่านว่าจะรับ-ไม่รับครับ จงเคารพในการตัดสินใจของตัวเอง มิใช่ให้ผู้อื่นชี้นำครับ)
------------------------------------
1. เรารับขันธ์ทำไม?
ตอบ การรับขันธ์ขอให้เป็นทางเลือกสุดท้าย หากไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ครับ จุดประสงค์

ก. เป็นดวงจุติมาเกิดเพื่อเดินสายเทพ
ข. ได้ปฏิบัติบูชามาระยะหนึ่งแล้ว.. มีศรัทธา.. เชื่อมั่น .. ไม่สงสัย อย่ารับขันธ์ด้วยเพียงเหตุผลว่าโดนทัก หรือมีคนบอกให้รับขันธ์ครับ หากท่านขาดเหตุผลในข้อ ข. นี้ไม่สมควรรับขันธ์ครับ
ค. อย่ารับขันธ์เพราะความโลภ อยากรวย หรือทั้งๆที่ท่านยังเต็มไปด้วย ตัณหา ราคะ อยากได้ไม่สิ้นสุดครับ
ง. อาจารย์ไม่มีประสงค์เรื่องขันธ์เทพ เป็นกรณีหากไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เท่านั้น เพราะได้มาง่ายรักษายาก เรียกว่าเสียมากกว่าได้ ท่านที่รับขันธ์จึงพึงสังวรณ์ไว้ว่า ผู้ที่รับขันธ์เสียมากกว่าได้ คือ เสียสละ ( คือการช่วยเหลือผู้อื่น ผู้ที่เห็นแก่ได้ไม่สามารถในข้อนี้ครับ) เสียเวลา (การบูชาต้องแบ่งเวลา) เสียความรู้สึก (ทำดีไม่ได้ดี ช่วยเขาแล้วได้ดีลืมบุญคุณ ไม่ได้ผลหรือได้ผลช้ากลับมาลบหลู่) เสียใจ (ศิษย์หรือกัลยาณมิตร ... เนรคุณ)

2. ข้าพเจ้าสามารถรับได้หรือไม่ ?
ตอบ ได้ครับ ถ้าตรวจพบแล้วว่ามีองค์เทพจริง และสามารถตอบปัญหาข้อ ๑ ด้านบนได้แล้ว

3. การรับหรือไม่รับใครกำหนดคะ ?
อบ เบื้องบนครับ คนทำฤาจะสู้ฟ้าลิขิต

4. แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตหรือไม่คะ ?
ตอบ ย่อมเกิดแน่นอน  คิดดีทำดี    จำเริญรุ่งเรือง
                             คิดชั่วทำชั่ว วิบัติดับสูญ...
                             คิดไม่ตกทำไม่ได้ ...อย่าทำ

5. อาการมึนหัว ตัวเย็น จะอาเจียนดังกล่าวเกิดจากสาเหตุใด
ตอบ อาการที่เกิดเป็นได้หลายกรณี  สัมภเวสี..เจ้ากรรมนายเวร.. กรรมลิขิต  หรือเทพเทวาครับ

6.แล้วเหตุใดคนอื่นๆที่เขารับขันธ์ถึงมีท่าทางแปลกๆ
ตอบ ขึ้นกับร่างทรงนั้นๆ ท่าทางแปลกๆวิเคราะห์ดังนี้
ก. การแต่งการแปลกออกไป... ถ้าแปลกมากไปเดินถนนคนว่าบ้าครับ
ข. อาจารย์เคยพบ งานไหว้ครู บางงาน ร่างทรงที่มาร่วมงาน องค์ลงก่อนเจ้าภาพครับ บางท่านสวดแข่งกับพราหมณ์ ที่เขาเชิญมาทำพิธี เรียกว่าไม่รู้กาละเทศะ หากร่างทรงใดมีพฤติกรรมเช่นนี้ ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ก็ไม่สมควรไปงานครับ ยิ่งไม่สนิทเจ้าภาพยิ่งสมควรพิจารณาตัวเองครับ
ค. ร่างทรงบางท่านยึดติดมากไปครับ.. เวลาไม่ได้ประทับทรง ยังเดินตัวลอย คิดว่าตัวเองเป็นเทวดาก็มีครับ ต้องการให้คนมากราบกราน
ง. บางคนเป็นเจ้าตำหนักชอบโทรหายืมเงินลูกศิษย์..จิกเป็นรายๆ แบบนี้ไม่ไหวครับ (เช็คไป-เช็คมายืมไปทั่วครับ) .. กฏข้อ ๗ ของการเป็นเจ้าตำหนักควรรักษาไว้........
จ. มีบางท่านอ้างว่า เป็นผู้มีญาณหรือองค์เทพ..ใชัญาณหรือบารมี องค์เทพตรวจ... ลูกศิษย์ที่มาหากเป็นหญิงสาวมักกล่าวอ้างว่า ในอดีตหรือองค์ของทั้งสองเป็นสามีภรรยากัน.... ให้มาพบเจอกัน... มักพบได้เมื่อท่านไปเจอในเวบแล้วออนเอ็มหรือโทรหากัน ... โปรดใช้วิจารณญาณของท่านให้รอบครอบ หากท่านเป็นหญิงสาว....ไม่เว้นสาวน้อยหรือสาวใหญ่ หรือกำลังว้าวุ่นใจ สับสน โปรดระวัง

7. การรับขันธ์ครู หรือขันธ์เทพ อาจารย์หมอยามีประสงค์ว่า ขอให้ผู้ที่รับขันธ์นั้น มีเจตนารมณ์ที่จะบูชาเทพแห่งตนเป็นสรณะบูชาตัวเอง เรียกว่า ให้ความยอมรับนับถือตัวเอง... เพื่อเป็นขวัญกำลังใจ ในการประกอบอาชีพเพื่อความเจริญรุ่งเรือง ของตัวเอง เป็นคนดี มีที่ยึดเหนี่ยว หาใช่ให้ไปยึดติดกับเจ้าตำหนักใดๆก็หาไม่ครับ (มี บางท่านกล่าวโจมตีว่า ผู้ที่ไปรับขันธ์ เป็นผู้มีจิตใจอ่อนแอ ชอบเป็นเบ๊เป็นบ่าวผู้อื่น แบบนี้ก็เกินไป ใครจะเก่งเหมือนท่านละครับ) ความสามารถ การรับรู้และสภาวะแวดล้อม สำหรับบางท่านก็เหมือนโดนบีบคั้น ดังนั้น..... เวบองค์องค์เทพดอทคอมจึงก่อกำเนิดขึ้น เพื่อหวังว่า จะเป็นแนวทางเพื่อการศึกษาในศาสตร์แขนงนี้ครับ.. ให้เป็นเนื้อนาบุญสืบไป 
-----------------------------------------------------------------
๑. การครอบครู ไม่ทราบว่า จัดขึ้นหรือมีขึ้นดังประสงค์ใดเช่น มีพิธีไหว้ครู ครอบครู เป็นการจัดขึ้นเฉพาะกิจหรือเฉพาะกลุ่ม มีวัตถุประสงค์ชัดเจน เช่น
๑.ไหว้
ครูโหราสาตร์ครูอาจารย์ครูเทพเทวา.....
๒.ไหว้ครูสักยันต์ครูไสยเวทย์....................
๓.ไหว้ครูนาฏศิลป์ครูดนตรีครูโนราห์............
๔.ไหว้ครูเจ้าตำหนัก...............................
๕.ไหว้ครูโดยคณะศิษย์จัดขึ้น .....มีวัตถุมงคลขาย.. มีกิจกรรมเหมือนขายบัตร
มี การตัดเงินถวายอาจารย์เป็นสัดส่วน.. แบบนี้สังเกตุง่ายครับเพราะครูอาจารย์ท่านนั้นๆจะไม่ค่อยพูด.. ทำกิจกรรมตามรายการและรายล้อมด้วยศิษย์ ไม่สามารถเข้าถึงตัวอาจารย์ได้
จุด ประสงค์ย่อมแตกต่างกันไปครับ.. แล้วอยู่ๆ มีการนำเศียรไปครอบให้กับผู้มาทำบุญทั้งๆที่ ....บุคคลผู้นั้น มิได้ร้องขอหรือมีเจตนาจะครอบ.. นั่นด้วยประสงค์สิ่งใด.. เพราะสี่ข้อที่กล่าวมาด้านบน ผู้ที่มางานทราบดีว่ามีพิธีครอบครู.. หาก ท่านไม่สบายใจ ให้ทำการอาบน้ำมนต์สามครั้ง อธิฐานขอคืนสิ่งที่ท่านไม่ได้มุ่งหวังจะมี หรือแรงครูแลอวมงคลต่างๆ ที่ได้รับมา ขอจงกลับคืนสู่ต้นทางคือผู้เปิดดวงครอบครูครับ

***************************************************

จำเป็นไหมที่ต้องไปงานไหว้ครู
๑. ไปงานไหว้ครูด้วยใจเคารพครูท่านนั้นๆ ด้วยความสบายใจ
๒. ไปงานไหว้ครูเพราะต้องการไปฟังพราหมณ์หรือคนชุดขาวสวดโองการบูชาเทพเทวา
๓. ไปเพราะเคารพเป็นศิษย์เป็นครู
......................................................

หลักปฏิบัติทั่วๆไป

๑. เมื่อท่านเป็นศิษย์มีครูแล้ว สามารถไปงานไหว้ครูที่อื่นๆได้ไหม สามารถไปได้ครับ ไปฟังพราหมณ์หรือหมอขวัญ คนชุดขาวทำพิธีได้ครับ...ไม่ว่าจะเป็นตามวัดหรือตำหนักต่างๆ
๒. ท่านสามารถไปรับการครอบครูที่อื่นๆ นอกจากครูของท่านได้หรือไม่... คำตอบต้องว่าไม่สมควรนัก..... เพราะมิได้เป็นศิษย์เป็นครูหรือมีความนับถือกันมาก่อน.. เพราะก่อนที่ท่านจะกราบครูอาจารย์ของท่านยังใช้เวลาไตร่ตรอง ...กับการพบปะหน้างานแล้วครอบครูเลย ต้องถือว่าไม่สมควรทำครับ
๓. ขณะครอบครู ควรลืมตาหรือหลับตา ควรก้มศรีษะหรือไม่....... อาจารย์บางท่านก็บอกลืมตา อาจารย์บางท่านก็บอกว่าหลับตา.. อาจารย์หมอยาจึงมีโอวาทแก่ศิษย์ดังนี้ เพื่อพึงใช้ปฏิบัติเพื่อเป็นบรรทัดฐานสืบไปว่า หากเป็นงานปีของครูบาอาจารย์ของท่าน.. เมื่อท่านได้รับขันธ์ปราวณาตนขอเป็นศิษย์โดยมี ศรัทธา เขื่อมั่น ไม่สงสัยเป็นที่ตั้ง ดังนั้นแล้วขณะมางานไหว้ครู เมื่อมาขอรับการไหว้ครู ควรก้มหน้า หลับตาระลึกถึงครูอาจารย์ทั้งห้า การก้มหน้าเพื่อเป็นการแสดงความนอบน้อมต่อครูอาจารย์ มิได้เงยหน้าสบตาเพราะ ไม่มีกังวลอันใดว่าครูหรือผู้ที่ดำเนินการครอบครูจะทำการสะกดองค์ของท่าน มีจิตรักแลกตัญญู ไม่มุ่งหวังเทียบบารมีครู .... แต่ในส่วนของการไปครอบครูกับคนอื่นที่มิใช่อาจารย์ของตน หากหลีกเลี่ยงได้ก็พึงละเว้นเสีย นอกจากครูท่านนัั้นๆมีความคุ้นเคยกันมาก่อน ใน ขณะครอบครูให้ท่านลืมตาแลไม่ก้มศรีษะครับ
**************************************
จริงไหมที่มีคำกล่าวว่ามีเทพแล้วจะครองคู่หรือทีคู่ยาก ถึงมีก็จะเลิกล้างกันไป
ตอบ วิเคราะห์ดังนี้ครับ

๑. เพราะการปฏิบัติที่มุ่งมั่นจนเกินความพอดี ขาดครูอาจารย์คอยเตือนสติ แบบนี้เรียกว่าหลุดโลกครับ
๒. เพราะวิสัยมนุษย์มักโทษคนอื่นก่อนโทษตัวเองครับ.... เช่นเกิดเหตุการณ์ไม่ดี เคราะห์กรรมต่างๆ มักโทษขันธ์ โทษเทพเทวา ว่าขันธ์ผี เป็นต้น โดยไม่ได้มองความประพฤติตนเองว่า ได้เคยก่อกรรมอันใดไว้ เช่น บางท่านเคยทำแท้งมา1-2-3-4-5-6-7-8-9-10ครั้ง เวลาคุยกับอาจารย์ น้ำเสียงหาได้มีความเสียใจหรือจิตสำนึกไม่ ผลกรรมย่อมติดตามมา ทำให้ท่านไม่มีความสุขในชีวิตคู่การครองเรือนครับ......  อาจารย์เคยได้ยินคำบอกเล่าจากปากลูกดวงว่า เคยไปดูหมอ กับหมอดูหรือพระอาจารย์ เพื่อดูเด็กในครรภ์(กำลังตั้งครรภ์) ว่าเป็นเช่นไร ได้รับคำทำนายว่า เป็นกาลีให้เอาเด็กออกหาไม่สามีจะมีภรรยาน้อยและตกต่ำ คู่สามี-ภรรยาก็ไปเอาเด็กออก เป็นเช่นนี้สองครั้ง ครั้งที่สามฝ่ายภรรยาไม่ยอมเก็บเด็กไว้เมื่อคลอดออกมา ฝ่ายสามีก็ไปมีภรรยาน้อยอยู่ดีครับ...  ฝ่ายลูกดวงก็บอกว่า หมอดูหรือพระอาจารย์ท่านนั้นมีชื่อเสียง อีกด้วย อาจารย์ที่ดูดวงเช่นนี้เลวมากครับหาที่เปรียบมิได้.. คงต้องตกนรกหมกไหม้ไปชั่วกัปชั่วกัลย์ครับ
๓. สามี-ภรรยา อยู่ด้วยกัน ไม่ให้ เกียรติซึ่งกันและกัน เช่นภรรยาไม่ให้เกียรติสามี พูดจาไม่มีหางเสียงแถมหยาบกระด้าง เห็นแก่เงิน รักครอบครัวตัวเองมากกว่าสามี เอาเงินที่สามีฝากไว้ที่ตัวเองไปให้คนอื่น ให้ครอบครัวตัวเอง เช่น ปล่อยกู้ ให้ยืม ยามขัดสนก็ด่าทอ ไม่ได้สนใจว่าเงินที่หามาได้ด้วยความเหนื่อยยาก และได้นำมาฝากไว้ มิใช่เงินของตน พูดจาก้าวร้าว หลบหลู่ดูหมิ่นสามีไม่พอแถมเลยเถิดไปยังองค์เทพเทวา สามี-ภรรยาท่านใดเมื่ออ่านมาถึงตรงนี้พึงสังวรณ์ว่า การเคารพเทพเทวาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นเหตุผลส่วนตัวและเป็นสิทธิ์เสรีภาพขั้น พื้นฐาน หากจาบจ้วงกันเมื่อใดก็ไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ครับ หากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดกระทำเช่นนี้ เรียกว่าไตร่ตรองไว้ก่อนแล้วมีเจตารมณ์จะเลิกกับฝ่ายตรงข้าม ครับ ทำเพื่อความสะใจทำได้ครับ แต่จะเสียใจภายหลังครับ

**********************************
ข้อสังเกตุ
๑. การที่เจ้าตำหนักโทรมาเร่งรัด หรือให้ศิษย์มาบีบคั้นให้ไปงานไหว้ครู
๒. โทรมาเร่งรัด
หรือให้ศิษย์มาบีบคั้นว่า ดวงตกต้องมาเสริมขันธ์
๓. โทรมาเร่งรัด
หรือให้ศิษย์มาบีบคั้นว่า ถ้าไม่มางานไหว้ครูจะมีอันเป็นไป

      เหล่านี้เป็นการบังคับ ข่มขู่ วิธีการต่างๆนานาสารพัดที่จะบีบบังคับให้ท่านไปงานไหว้ครูของเขาให้ได้ เช่นนี้แล้วพึงระลึกไว้เสมอว่า ไม่ถูกต้องและไม่จำเป็นต้องไปครับ ศรัทธาควรมาจากใจ มิใช่ข่มขู่ครับ จึงมีบางเวบที่ประณามร่างทรงหรือตำหนัก ก็นับว่าสมควรแล้วครับ
    ทุกท่านที่เข้ามาศึกษา เวบองค์เทพ ขอให้นำบทความไปไตร่ตรอง จงเชื่อมั่นในการตัดสินใจของท่าน ควรมีจิตใจอันมั่นคง อย่ายอมสยบให้กับคำข่มขู่ หากวุ่นวายใจก็เลิกไปตำหนักนั้นๆเลยครับ งานไหว้ครูก็ไม่ต้องไปครับ จงเชื่ออย่างมีสติ เหตุผล ครับ
    เวบองค์เทพตอทคอม มีประสงค์ให้ท่านทั้งหลายได้ศึกษาบทความ ก่อนการตัดสินใจ ไม่ควรรับขันธ์เพราะแรงยุ เจ้าตำหนักสั่ง ถูกบีบบังคับ ไม่เต็มใจ เพราะเราเป็นคนพุทธย่อมบูชากราบไหว้พระพุทธองค์เป็นแรงใจอยู่แล้ว ส่วนกราบไหว้บูชาเทพ เป็นศรัทธาส่วนตัว เชื่อมั่น ไม่สงสัย เพื่อเป็นขวัญ กำลังใจเป็นโชคลาภครับ หากปฏิบัติสายเทพภายใต้ความเกรงกลัวจะได้ประโยชน์อันใดครับ

 ******************************


sent: friday, july 20, 2012 6:25 pm
to:
subject: กราบสวัสดีท่านอาจารย์หมอยาน่ะครับ

กระผมนายนิสา กองบุญมา ติดตามเวปอาจารย์มาตลอดครับได้ความรู้เพิ่มขีึ้นเยอะเลยน่ะครับ
บางเรื่องที่อยากรู้ก็ได้รู้ บางเป็นเรื่องที่ไม่รู้ก็ได้รู้ อาจารย์เก่งน่ะครับสุดยอดเลย
นับถือมากๆๆน่ะครับ. ถ้าเราเดินสายเทพเราจำเป็นจะต้องทรงหรือเปล่าครับ บางท่านก็ไม่ได้ทรงแต่ช่วยเหลือคนอื่นได้. แล้วแต่ญาณในท่านจะสั่งหรือครับ
ขอให้อาจารย์หมอยามีแต่ความสุข (ผมมิได้มาลองของน่ะครับ)
ขออารธนาองค์พ่อ องค์แม่ องค์บรมครู จงปกปักษาท่านอาจารย์หมอยาให้มีแต่ความสุขขอบุญบารมีท่านเพิ่มขี้นน่ะครับ

ตอบ อนุโมทนาครับ มีคำกล่าวว่า คนทำฤาจะสู้ฟ้าลิขิตครับ เรื่องการมีองค์เทพ ได้มีการจำแนกหมวดหมู่ออกไปแบบคร่าวๆตามที่มีในเวบ แล้วอานุภาพของดวงดาวหรือที่ภาษาโหราศาสตร์กล่าวว่า ส่องแสงถึง ยังเป็นตัวขับและตัวแปรด้วยครับ  ในลักษณะที่ช่วยเหลือผู้คน ไม่มีคำว่าไม่ทรง เรียกว่าขณะนั้นๆ ท่านนั้นได้กำลังสื่อกับเบื้องบนครับ เพราะถ้าไม่มีครูอาจารย์คอยกำกับจะไม่สามารถทำการใดได้เลยครับ
***********************************

ความ ตั้งใจในการเขียน ผู้เรียบเรียงต้องการสื่อถึงข้อธรรมและความเข้าใจเมื่อได้อ่านพุทธธรรมว่า มีความคิดเห็นเป็นเช่นไร เขียนไปตามความเข้าใจซึ่งอาจขัดแย้งความคิดเห็นของท่านก็ขอได้โปรดอภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ.... หมอยา

 

ฤทธิ์-ปาฏิหาริย์-เทวดาแลเทพเทวา สรุปความในพุทธศาสนา ไม่สนใจว่า ฤทธิ์-ปาฏิหาริย์-เทวดาแลเทพเทวา มี อยู่จริงหรือไม่ เพราะเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่ในโลกของเราปัจจุบัน จะพอทราบว่า ในอากาศมีทั้งคลื่นวิทยุ คลื่นของสัญญาณทีวีและในโลกของอินเตอร์เน็ต หรือสัญญาณโทรศัพท์มือถือ ซึ่งสามารถสื่อสารได้ หากเรื่องเหล่านี้ได้นำกลับไปบอกกล่าวแก่บุคคลซึ่งย้อนเวลาไปหลายร้อยปี คงต้องถูกหาว่า สติไม่สมประกอบเป็นแน่แท้ครับ ในหลักของพระพุทธศาสนา สนใจว่า ในกรณีที่มีอยู่จริงเราควรปฏิบัติและมีท่าทีอย่างไรเป็นคุณสมบัติเบื้องต้นมากกว่า จะแบ่งกลุ่มคนได้เป็น ๒ กลุ่มคือ เชื่อ กับไม่เชื่อว่ามีสิ่ง เหล่านี้มีคุณสมบัติพิเศษคือเป็นของที่ผลุบๆโผล่ๆหรือลับๆล่อๆ ทำให้ผู้ที่ประสบด้วยตนเองเข้าใจและเชื่อมั่น แต่กับคนบางคนกลับไม่สามารถพบเจอ สำหรับการมีอยู่จริงของเทพเทวาในหลักพระพุทธศาสนาถือ ว่า ไม่ขัดแย้งในทางปฏิบัติ ไม่กระทบต่อหลักการของพระพุทธศาสนา แม้ว่าเทพเทวา-ปาฏิหาริย์ มีอยู่จริง การปฏิบัติหลักธรรมและเข้าถึงพระศาสนาสามารถทำได้เช่นกัน

 

 อิทธิปาฏิหาริย์....เป็น อภิญญา คือความรู้ความสามารถพิเศษมีชื่อเฉพาะว่า อิทธิวิชา(อิทธิวิธิ)สามารถแสดงฤทธิ์ต่างๆเป็น โลกียอภิญญา จะพัวพันอยู่กับโลกมนุษย์เป็นวิสัยปุถุชนย่อมมีกิเลสปะปนครับ เช่น หูทิพย์ ตาทิพย์ การอ่านใจผู้อื่น การดูอดีต การดูอนาคต สิ่งเหล่านี้เกิดมาก่อนพุทธกาล ไม่เกี่ยวกับพุทธศาสนา ในทางพระพุทธศาสนา มีญาณอันสูงส่งเรียกว่า อาสวักขยญาณ คือ อภิญญาในระดับโลกุตระ ทำให้จิตใจเป็นอิสระและทำให้ดับกิเลสดับทุกข์ได้ ซึ่ง นับว่าเป็นธรรมอันสูงสุดก็ว่าได้ครับ แต่ในความเป็นจริง การเรียนรู้ควรทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปเรียกว่า ก้าวไปทีละขั้น ซึ่งบางท่านที่มีบุญบารมี ก็สามารถจะได้ทั้ง โลกุตรอภิญญา โดยได้ โลกียอภิญญาไปพร้อมกัน

อิทธิปาฏิหาริย์ แบ่งเป็น ๓ ประการดังนี้

๑. อิทธิปาฏิหาริย์ คือ การแสดงฤทธิ์ต่างๆ

๒. อาเทศนาปาฏิหาริย์ คือ การทายใจคนอื่นๆได

๓. อนุสาสนีปาฏิหาริย์ คือ คำสอนที่เป็นจริงและนำไปปฏิบัติแล้วได้ผล

เทวดา คือ ผู้ ที่มีคุณธรรมสูง กว่ามนุษย์มากนับว่าเหนือกว่าถึง ๓ ประการ คือ อายุทิพย์ กายทิพย์ อิ่มทิพย์(สุขทิพย์) แต่ก็ยังนับว่ามีกิเลสอยู่บ้าง จึงยังไม่หลุดพ้นคำว่า

"วัฏฏสงสาร" ในความคิดคำนึงของมนุษย์เมื่อมีการตายเกิดขึ้น มักให้พรกันว่า "จงไปสู่สุคติเถอะ"คือหมายให้ไปเกิดเป็นเทวดานั่นเอง แต่ในทางกลับกัน เทวดาเองก็อยากกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ด้วยเหตุ ๓ ประการคือ

๑ . ความกล้าหาญ

๒ . ความมีสติ

๓ . การสามารถถือพรหมจรรย์ หากสามารถใช้ ๓ สิ่งที่มนุษย์มีประกอบคุณความดีแลปฏิบัติธรรมจะได้อานิสงน์ในกรรมดีที่ทำนั้นมากมาย

 

เพราะโลกมนุษย์มีคุณสมบัติพิเศษคือ เป็นแหล่งที่รวม คนดี คนเลว ผู้มีธรรมอันสูงส่ง เป็นสถานที่ๆผู้ที่ได้เกิดมาบนโลกสามารถเลือกที่จะกอบกรรมดีหรือชั่วโดย อิสระ ต่างจากนรกหรือสวรรค์ซึ่งแยกคนดี-เลวไว้ชัดเจน

มนุษย์พยายามสร้างสัมพันธ์กับเทวดาเทพเทวาต่างๆโดยสามารถจำแนกออกได้เป็น ๒ วิธี ดังนี้

ประการ ๑ . โดยวิธีการอ้อนวอน เช่น การบวงสรวง เซ่นสังเวย การบูชา

ประการ ๒ . โดยการบังคับด้วยการบำเพ็ญพรต เช่น การทรมานร่างกายตนเอง

สรุปข้อปฏิบัติตนของผู้มีองค์เทพ

ข้อ ๑ . เมื่อ ปฏิบัติบูชาด้วยความมีศรัทธา เชื่อมั่น แลไม่สงสัย เป็นการต้องการบูชาด้วยใจบริสุทธิ์ เมื่อได้โลกียญาณ อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ให้เน้นไปในทางช่วยเหลือผู้คน ใช้อิทธิฤทธิ์ที่ได้ไปในทางประกอบคุณความดี

ข้อ ๒ . เมื่อ ทราบว่าอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์มีจริง ก็เป็นกำลังใจให้อยากประพฤติปฏิบัติธรรมในเวลาต่อมาครับ เช่นเข้าวัดทำบุญ ศึกษาพระธรรมไปด้วยเป็นการขัดเกลาจิตใจครับ


# 32
By หมอยา
On 2014-05-30 09:47:35

ข้อ ๓ . รู้จักการปล่อยวางจิตใจ ให้สบายไม่ยึดติด อย่ากลัวที่จะสูญเสียอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์เพราะหากท่านมั่นคง สิ่งเหล่านี้ก็จะคงอยู่กับท่านแล จัดเป็นการเข้าถึงพุทธศาสนาประการหนึ่งครับ

sent: monday, october 26, 2009 8:39 pm subject: re: รบกวนตรวจองค์เทพค่ะ สวัสดีค่ะ หมอยา หนูเคยตรวจองค์เทพกับหมอยาไปแล้วขอบคุณมากค่ะ หมอยาช่วยตอบหนูถือว่าเอาบุญนะคะ ทำไมในหลายเว็ปไซ้ถึงได้โจมตีคนที่เป็นร่างทรงองค์เทพบางเวปพูดอาการ ลักษณะท่าทางได้ถูกต้องเวลามีองค์เทพมาประทับหาว่าเป็นวิญญาณสัมภเวสีบ้าง จนบางครั้งหนูกลัววิตกจริตไปเลยว่าตัวเรานี่จะเป็นอย่างที่เขาพูดหรือเปล่า ขอบคุณค่ะ
ตอบ อนุโมทนาครับ เป็นคำถามที่ดีมากๆครับ.......... เพราะเรื่องร่างทรงนั้นละเอียดอ่อนครับ........... ที่ถูกโจมตีจะพุ่งประเด็นไปที่ร่างทรงที่เปิดตำหนัก
ครับ.... เนื่องจากบรรดาร่างทรงที่เปิดตำหนักอาจ มีการทำผิดเจตนาสวรรค์โดยลืมสัจจะวาจาที่ให้ไว้ว่า จะช่วยคนกลับเรียกร้องและต้องการไข่วคว้าให้
มีลูกศิษย์มากๆ ลืมปณิธานที่ลั่นวาจาว่า จะช่วยคนกลับกลายเป็นการขอให้ศิษยานุศิษย์ มาช่วยกัน บริจาคเพื่อสร้างตำหนักของตนให้ยิ่งใหญ่ (ขนาดตัวเองยังเอาตัวไม่รอดแล้วจะไปช่วยใครได้ครับ) หากตำหนักใดมิได้เป็นเช่นที่กล่าวมา.. หมอยาก็ขอกล่าวอนุโมทนาครับ..  หากเป็นการล่วงเกินในความคิดของท่าน.. หมอยาก็ขอกราบขอขมาต่อท่านไว้ ณ ที่นี้เป็นสำคัญครับ
หรือหลงในฤทธิ์บารมีจนทำให้องค์เทพท่านถอย กลับกลายเป็นสัมภเวสีมาสิงสู่แทน การประทับทรงไม่ชัดเจน จนเกิดอกุศลแก่บรรดาศิษย์ที่เข้าหา.... ยังผลให้การประสิทธิ์ขันธ์ครูกลายเป็นขันธ์ผีในที่สุด โดยที่ตัวเจ้าตำหนักก็ไม่รู้ตัวเองครับ.......... อย่างว่าละครับ สิ่งที่กล่าวมา เป็นกันได้ทุกคนละครับ ...ไม่ว่าคนๆนั้นจะถือเพศนักบวช ฆราวาส จะดีหรือชั่วอยู่ที่คนทำครับ เพราะโลกมนุษย์นี้เป็นศูนย์รวมของคนทุกประเภท แต่การเลือกประกอบกรรมดี-ชั่ว ท่านสามารถเลือกเองได้ครับ........ ดังนั้นควรแยกแยะครับ...ว่าท่านมาเดินสายเทพ ด้วยเหตุผลใด หากเพื่อศรัทธา และตัวเองมีทุกข์เมื่อได้บูชาท่านแล้วมีจิตใจสบาย คลายทุกข์ ชีวิตที่เป็นทุกข์ได้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น..... ท่านก็จงเดินสายเทพต่อไปครับ...ตัวท่านเองใยต้องไปเชื่อคนอื่น...จงเคารพในการตัดสินใจของตัวเอง ....อยู่ในโลกนี้ไม่มีใครพ้นคำนินทาครับ หากสิ่งที่ท่านทำอยู่มิได้เบียดเบียนผู้ใด ก็คงไม่เสียหายอะไรครับ
**************************************

 

กระแสกรรมจะเกิดขึ้นโดยหลักสามประการ
๑. มโนกรรม ความตั้งใจที่จะทำ
๒. วจีกรรม   การแสดงออกทางวาจา
๓. กายกรรม แสดงออกทางการกระทำ

 

กรรมตามหลักพระพุทธศานาได้แบ่งไว้เป็นสองประการหลักคือ
๑. การก่อกรรมโดยมีเจตนา
๒. กรรมที่ก่อขึ้นโดยไม่มีเจตนา
สำหรับกรรมที่เกิดขึ้นจะเจตนาหรือไม่ก็ตามได้จำแนนออกเป็นลักษณะดังนี้
๑. กรรมนิมิตร คือกรรมที่ก่อขึ้นในภพปัจจุบัน และได้รับผลกรรมนั้นๆนั้นทันที
๒. อุปปัทเฉทกรรม คือกรรมอันเกิดจากตั้งครรภ์ ภายในเวลาต่อมามีเหตุเช่นครรภ์เป็นพิษเด็กแท้งออกมาเองเป็นต้น และได้รับผลกรรมนั้นๆนั้นทันที
๓. อัปปราประเวทินิยกรรม คือการก่อกรรมโดยมีเจตนา กรรมที่ก่อขึ้นโดยไม่มีเจตนา และได้รับผลแห่งกรรมนั้นๆในภพต่อๆไป ไม่เห็นผลกรรมในภพปัจจุบัน
๔. กตักกะตากรรม คือกรรมที่ก่อขึ้นโดยไม่มีเจตนา และสามารถตอบแทนด้วยกรรมดีลบล้างไม่ให้ผลกรรมนั้นตามมาให้ผลต่อไป
๕. อนันตริยกรรมกรรม คือกรรม ๔ ประเภทที่ไม่สามารถลบล้างได้ คือ ปิตุฆาต มาตุฆาต อรหันตฆาต โลหิตบาท สังฆเภท
๖. อโหสิกรรม คือผู้ปฏิบัติกรรมนี้ เวรย่อมระงับไป
๗. อุปปิฬกกรรมคือคนที่ประพฤติทั้งกรรมดี-ชั่วสลับกันไป
๘. ทิษฐกรรมเวทนียกรรม คือกรรมที่ส่งผลในภพปัจจุบัน
๙. อุปัชชเวทนียกรรม คือกรรมที่ส่งผลในภพหน้า
๑๐.อุปัตถัมภกรรม คือกรรมที่ก่อแล้วส่งให้ก่อกรรมหนักขึ้นเรื่อยๆ เช่นค้ายาบ้า
๑๑. อาจินกรรม(พหุลกรรม) คือกรรมที่ต่อเนื่อง เช่นฆ่าไก่ ฆ่าหมู
๑๒. อาสันนกรรม คือ กรรมที่เห็นผลตอนใกล้ตาย
๑๓. ชนกกรรม คือกรรมที่ส่งผลให้ภพหน้ามีความสุข งดงาม ผิวพรรณดี
*********************************************

  นอกจากอันตรายที่ทำลายสมาธิ ๑๐ ประการที่ได้เขียนไปแล้ว การฝึกจิตให้เป็นสมาธิ อาจารย์ได้อ่านในหนังสือเขียนไว้น่าสนใจ พบว่า จะต้องมีปัจจัย ๕ ประการด้วยกัน ดังนี้ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา การฝึกสมาธิ แบ่งความสำเร็จออกเป็นสามคือ ชั้นอ่อน ชั้นกลาง ชั้นสูง ครับ และในขณะฝึกสมาธิ ท่านควรตั้งอยู่ในพรหมวิหารสี่ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เสมอครับ
        อาจารย์พบว่า การฝึกสมาธิมีความซับซ้อน และขั้นตอนชี้แจงรายละเอียดไว้มากมาย ดังนั้นที่กล่าวไว้ในบทความนี้เพียงเพื่อความเข้าใจพอสังเขป สำหรับผู้มุ่งหวังทำสมาธิ อาจารย์มีประสงค์ให้เพื่อผลทางจิตใจสงบ ไม่หวั่นไหว มีกำลังใจดำเนินชีวิตประกอบสัมมาอาชีพถูกต้อง ไม่ก่อความเดือดร้อนหรือเบียดเบียนผู้อื่น สามารถสื่อหรือสัมผัสต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพเทวาครูอาจารย์ เข้าใจว่า บาป-บุญ เทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง ต่อไปการประพฤติ ปฏิบัติจะได้ไม่มีข้อสงสัยและตั้งมั่นอยู่ในความไม่ประมาทครับ
      การประกอบกิจใดๆเช่น การทำมาหาเลี้ยงชีพ การบูชาเทพเทวา คงต้องยึดหลักอิทธิบาทสี่ คือ
๑. ฉันทะ  คือความสนใจ ศรัทธา เชื่อมั่น ไม่สงสัย
๒. วิริยะ   คือ ความพากเพียร ใส่ใจ บางท่านบูชาเทพนานวันไปไม่เคยดูแล เรียกว่าไม่สม่ำเสมอ
๓. จิตตะ  คือ ความมั่นคง ไม่หวั่นไหว หลายครู หลานตำหนัก
๔. วิมังสา คือ การพัฒนาการต่างๆ ในด้านความรู้ บารมี เป็นต้น

*********************************************

การฝึกสมาธิจิตตามหลักโยคศาสตร์ของพราหมณ์โบราณ ผู้ปฏิบัติจะต้องแบ่งวางที่ตั้งของจิตเป็น ๑๐ ขั้นดังนี้
ฐานที่  ๑  . กำหนดที่ตั้งจิตตรงสะดือ ทำใจให้ว่าง พิจารณาให้เห็นเหตุเกิดทุกข์
ฐานที  ๒  . กำหนดที่ตั้งของจิตเหนือสะดือขึ้นมา ๒ นิ้ว พิจารณาให้เห็นกองทุกข์
ฐานที่  ๓  . กำหนดที่ตั้งของจิต
เหนือสะดือขึ้นมา ๔ นิ้พิจารณาให้รู้เหตุที่เกิดอกุศลจิตแล้วดับเสียซึ่งเหตุ และสร้างกุศลจิตขึ้นมาแทน

ฐานที่  ๔  . กำหนดที่ตั้งของจิตกลางทรวงอกเพื่อละอกุศลจิตให้หมดไปแล้วพยายามทำจิตใจให้ผ่องใสบริสุทธฺ์เป็นกุศลธรรม
ฐานที่  ๕  . กำหนดที่ตั้งของจิตที่ขั้วปอดและหลอดลม กำหนดจิตให้รู้ความหลับตื่น ให้รู้อวิชาและวิชาคืออะไร
ฐานที่  ๖  . กำหนดที่ตั้งของจิตที่ปลายจมูกและกำหนดจิตให้รู้ถึงการเกิดดับของสังขารธรรม
ฐานที่  ๗ .  กำหนดที่ตั้งจิตระหว่างหัวคิ้วและจนเกิดเป็นอำนาจทิพย์จักษุ
ฐานที่  ๘ .  กำหนดที่ตั้งจิตกลางหน้าผากจะเกิดนิคมปัญญาพิจารณษให้รู้ถึงการเกิดดับของธรรมชาติ ของสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวง
ฐานที่  ๙ .  กำหนดที่ตั้งของจิตกลางกระหม่อม จนเกิดอาคมปัญญาพิจารณาให้รู้สภาวธรรมของรูปและนามจนนำพาให้เกิดปัญญา
ฐานที่ ๑๐ . กำหนดที่ตั้งจิตเหนือท้ายทอย จนบังเกิดเป็นนิโรธสมาบัติ พิจารณาสภาวของรูปธรรม นามธรรม การละลายสภาวรูปธรรม นามธรรม

อาจารย์หมอยาเห็นว่า ฐานทั้งสิบเขียนไว้อย่างละเอียดน่าสนใจ ทั้งยังซ่อนปมปริศนาไว้ จึงนำมาลงไว้พอสังเขป และจะได้กล่าวถึงอันตรายที่ทำลายสมาธิจิตไว้ดังนี้
๑. การเจ็บไข้ทั้งหลาย
๒. การขาดความว่องไว (ไหวพริบ)
๓. ความสงสัยลังเล ขาดศรัทธา เชื่อมั่น ไม่สงสัย
๔. ความประมาท (ถือดี อวดดี)
๕. ความเกียจคร้าน
๖. การกำหนดลมหายใจไม่ถูกต้อง
๗. ความหลงผิด
๘. การฝึกด้วยความใจร้อน ข้ามขั้นตอนต่างๆ
๙. การมีจิตใจที่มั่นคง
๑๐.อยู่ในช่วงที่มีความทุกข์ต่างๆเช่น (เป็นหนี้สิน เป็นคดีความ เสียญาติคนรัก)

*******************************

วิญาณศาสตร์ spiritualism การถ่ายทอดและเปลี่ยนแปลงวิญญาณ metem psychosis ตามหลักพระพุทธศาสนา ว่าไว้ดังนี้  การสืบต่อชาติภพต่างๆของมนุษย์หรือสัตว์ อวิชาเป็นต้นเหตุแห่งตัณหา ตัณหาเป็นต้นเหตุให้เกิด อุปาทาน อุปาทานเป็นต้นเหตุให้สร้างกรรม วนเวียนไปเช่นนี้ทุกภพทุกชาติ ได้มีการแบ่งวิญญาณของมนุษย์ออกเป็นสอง(อภิธรรมคหะฉบับพิศดาร)
๑. วิญญาณธาตุ(ปฏิสนธิวิญาณ)
๒. วิญญาณขันธ์ (จิต หรือ อายตนะ)
ได้กล่าวไว้ว่า หากวิญญาณไม่ก้าวสู่ครรภ์มารดา นามรูปจักเกิดไม่ได้ ในความเชื่อของพราหมณ์ ถือว่า วิญญาณเป็นอมตะ เป็นอัตตา  แต่ในทางพุทธ
องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสามารถหยั่งรู้ด้วย โลกุตระปัญญา (super mudane intellect) ว่า ทุกสิ่งอย่างในโลกล้วนเป็น อนัตตา ทั้งสิ้น พระพุทธองค์ทรงเข้าใจความจริง ความเป็นไปของชีวิตขั้นสูงสุด (ความจริงชั้น ปรมัตหรือวิมุติสัจ) และในท้ายที่สุดพระพุทธองค์ทรงค้นพบ กฏธรรมชาติของการทำให้การหมุนเวียน ถ่ายถอดของวิญญาณสิ้นสุดลงโดยเด็ดขาด(law of cessation of metempsychosis)เรียกว่า อาสวักขญาณ
    ในมหาสีหนาทสูตรได้กล่าวถึงลักษณะการเกิดของมนุษย์และสัตว์ต่างๆออกเป็น ๔ ภพดังนี้
๑. ชลาพุชะ   คือการเกิดในมดลูก ในครรภ์มารดา
๒. อัณทชะ   คือการเกิดในฟองไข่
๓. สังเสทชะ คือการเกิดในโคลนตม สิ่งโสโครก เช่นเชื้อโรคต่างๆ
๔. โอปาติกะ คือเกิดโดยไม่มีบิดามารดา เป็นไปโดยแรงกรรม หรือกฏแห่งกรรม เช่น เทพ พรหม สัมภเวสี วิญญาณเร่ร่อน  อสุรกาย สัตว์นรกต่างๆ
     ภพของวิญญาณโอปาติกะแบ่งออกเป็นดังนี้

วิญญาณชั้นพรหม   ชั้น อกนิษฐพรหม เกิดโดยการลอยไปเกิด
วิญญาณชั้นสูงสุด อันดับ ๑ ชั้นพรหม มีดังนี้ เกิดโดยการลอยไปเกิด
     ๑. อรูปพรหม         มี ๔ ชั้น
     ๒. ปัญจมญาณ      มี  ๓ ชั้น
     ๓. จตุถญาณ         มี ๓ ชั้น
     ๔. ตติยญาณ        มี ๓ ชั้น
     ๕. ทุติญาณ         มี ๓ ชั้น
     ๖. ปฐมญาณ        มี ๓ ชั้น
วิญญาณชั้นสูง อันดับ ๒ ชั้นเทพ เกิดโดยการลอยไปเกิด
     ปรมิตสวัสดี
     นิมานนรดี
     ดุสิตา
     ยามา
     ดาวดึงษา
     จตุมหาราชิกา
วิญญาณชั้นกลาง วิญญาณมนษย์เกิดโดยการผสมพันธ์ (ชลาพุชะ)
วิญญาณชั้นต่ำ เกิดโดยลอยไปเกิด สัมภเวสี
                  เกิดโดยการผสมพันธ์ (ชลาพุชะ) วิญญาณสัตว์โลก
                  เกิดโดยลอยไปเกิด วิญญาณอสูรกาย  เวปจิตติ ปังสุ กาละกัญญิกา เปรต
วิญญาณชั้นต่ำสุด เกิดโดยลอยไปเกิด สัตว์นรกต่างๆ

************************************

ศาสนาพุทธในประเทศไทย เป็นฝ่ายเถรวาท ส่วนศาสนาพุทธในธิเบตได้ผสมผสานศาสนาพราหมณ์เข้าด้วยกัน ได้มีการนำเอาพรหมหรือเทวดาบางองค์ที่มีฤทธิ์มากตั้งเป็นพระโพธิสัตว์ ปรมาจารย์ผู้สร้างพระไตรปิฏกทางศาสนาพุทธให้ประเทศธิเบต มีสองท่านคือ องค์คุรุปัทมะภพและองค์นาครชุน ทั้งสองท่านนี้นับถือศาสนาพราหมณ์มาก่อน เดิมอาศัยอยู่ทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย ในกาลต่อมาได้ไปอาศัยอยู่ในธิเบต สืบต่อมามีความเลื่อมใสศาสนาพุทธ จึงได้นำหลักของศาสนาทั้งสองผสมผสานเข้าด้วยกัน เรียกขานกันทางตอนเหนือของประเทศอินเดียว่า พุทธศาสนาวัชรญาณ ครับ จุดมุ่งหมายในปลายทางในการปฏิบัติแตกต่างกับศาสนาพุทธในประเทศไทย ทางวัชรญาณ มุ่งไปที่สวรรค์ชั้นสูง ส่วนทางไทยมุ่งไปสู่การนิพพานครับ
  พุทธศาสนาวัชรญาณ (มหาญาณ)
                           เวลาช่วง ๙.๐๐ -๑๒.๐๐ น มุ่งเน้นทางหลักศาสนากับครูอาจารย์
                           เวลาช่วง ๑๔.๐๐ --น. เน้นทางประทับทรง รักษาคน พยากรณ์ ทำเครื่องลางของขลัง (โลกียยาน)
  พุทธศาสนาในไทย (เถรวาทหรือ หินยาน) 
                           เวลา ๖.๓๐-๘.๐๐ น. บิณฑบาตร ฉันภัตตาหารเช้า
                           เวลา ๙.๐๐--น. รับกิจนิมนต์ต่างๆ
                           เวลา ๑๑.๐๐-น. ฉันเพล
                           เวลา ๑๓.๐๐ น. จำวัตร หรือศึกษาพระธรรม วิปัสนากรรมฐาน (วิปัสนาญาณ)
จะเห็นว่า ไม่มีกิจเรื่องดูดวง วัตถุมงคล หรือการยกขันธ์ กล่าวในกิจของสงฆ์สายเถรวาทแต่อย่างใด
หากใช้ผสมกันเมื่อใด ก็คงเสมือนเป็นทั้ง ลามะและพระสงฆ์ ในกายแห่งตนครับ....
   แต่ในกาลต่อมาจนถึงปัจจุบัน จะพบว่ามีวัตถุมงคลต่างๆออกให้บูชา ด้วยมีเจตนารมณ์ในเชิงบุญ ให้ เป็นที่ยึดเหนี่ยว ในฝ่ายเถรวาท แต่หากไม่ทิ้งแนวทางแห่งวิปัสนากรรมฐาน ผลแห่งการนิพพาน จึงพบว่า การผสมผสานโดยไม่ทิ้งจุดยืน เป็นที่ยอมรับครับ ดังนั้นท่านผู้อ่านพึงพิจารณาเอาครับ ว่าท่านจะเลือกวางแนวทางของศรัทธา เชื่อมั่น ไม่สงสัย อย่างไร การอ่าน ศึกษา และเปิดใจให้กว้างเป็นแนวทางแห่งปัญญาโดยแท้ครับ สาธุการ

***********************************

  ศาสนาพรหมณ์หรือลัทธิพรหมณ์มีมาก่อนพุทธกาล และได้เจริญสูงสุดในสมัยพระพุทธเจ้าองค์ที่สาม นามว่า พระทีปังกาโร (พระทีปังกร) ส่วนพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันทรงพระนามว่า พระสมณโคดม เป็นพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ในลำดับที่ ๒๗ วิชาที่พราหมณ์ใช้ ส่วนหนึ่งเรียกว่า อวิชา หรือไสยเวทย์ และเครื่องรางของขลัง  ซึ่งสามารถใช้ทำร้ายผู้อื่นได้หรือให้คุณผู้อื่นได้ ในเวลาเดียวกัน
        ในอดีต เมื่อยังไม่มีพุทธศาสนา คือนับแต่สิ้นพระพุทธเจ้าองค์ที่สาม พราหมณ์ โยคี ดาบส กลับมีอำนาจมากมาย เกิดการแย่งชิงอำนาจในระหว่างกลุ่มชนหรือประเทศต่างๆ พราหมณ์ โยคีหรือดาบส นักพรตต่างๆ ได้ครองอำนาจบางคนเป็นปุโรหิต ผู้นำด้านอาคมบ้าง ต่างได้จัดทำของขลัง วัตถุอาถรรพ์ ตะกรุด มีดหมอ เพื่อปลุกขวัญกำลังใจเหล่าทหารๆ ได้นำติดตัวออกรบในสงครามจนได้ชัยชนะ ต่างพากันประจุอาคมลงในวัตถุดังกล่าว จนเป็นที่กล่าวขวัญยอมรับ
     จนเกิดการประกอบพิธีกรรมต่างๆเช่น ศาลหลักเมือง พิธีวางศิลาฤกษ์ ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองตลอดจนทำวัตถุมงคลออกแจกจ่ายให้ประชาชน เหล่าทหาร เพื่อให้เกิดกำลังใจ และรวมเป็นหนึ่งเดียวกันของวัฒนธรรม
     เครื่องลางของขลังมีผล ป้องกันภัยหรืออย่างไรดังนี้ครับ
๑. ด้านคงกระพันชาตรี ยิงฟันไม่เข้า ส่วนมากจะเกิดผลต่อหน้าครูอาจารย์เพราะ ผลทางความศรัทธา เชื่อมั่น ไม่สงสัยครับ หากไกลหรือลับหลังครูมักไม่ได้ผลดีเท่าที่ควรครับ เช่นเมื่อสักยันต์เสร็จใช้มีดฟัน หรือเชือดคอเป็นต้น ส่วนเรื่องกระสุนปืน หากถูกลอบยิง นัดแรกๆมักด้านครับ หากผู้ถูกยิงรู้ตัวแล้วหันหลังกลับไปดู นัดต่อไปมักโดนเสมอครับ
๒. เรื่องทางด้านแคล้วคลาดจากอุบัติภัยต่างๆ
๓. เรื่องทางด้านเมตตามหานิยม

๔. ความเป็นมหาอุตม์ มีผลมาจากข้อหนึ่งแต่มากกว่าเรื่องฤทธิ์ มาจากเครื่องลางนั้นๆได้จัดทำขึ้นด้วยศาสตร์ลึกลับ จากพวกโยคี จอมขมังเวทย์ต่างๆ ซึ่งจัดทำขึ้นด้วยหลักวิชาต่างๆดังนี้
ก. การผสมธาตุต่างๆ (มวลสาร) ซึ่งต้องจัดหามาโดยสามารถรับถึงพลังงานต่างๆได้ โดยใช้ลมปราณเป็นสื่อในการจัดทำ  (pranic energy ) สำหรับ ผู้ประกอบพิธี หากเป็นผู้ที่ได้กำเนิดในฤกษ์ที่เหมาะสม ได้บำเพ็ญตนในทางพิธีย่อมให้ผลดีมากครับ
ข. การใช้พลังของกระแสจิต การนั่งปรกเพื่อรวบรวมพลังงานบรรจุลงในวัตถุต่างๆ ผู้ประกอบพิธี หากเป็นผู้ที่ได้กำเนิดในฤกษ์ที่เหมาะสม ได้บำเพ็ญตนในทางพิธีย่อมให้ผลดีมากครับ

ค. การใช้พลังลมปราณ (pranic energy ) เพื่อรวบรวมพลังงานบรรจุลงในวัตถุต่างๆ ผู้ประกอบพิธี หากเป็นผู้ที่ได้กำเนิดในฤกษ์ที่เหมาะสม ได้บำเพ็ญตนในทางพิธีย่อมให้ผลดีมากครับ โดยสายญาณของลมปราณแบ่งออกเป็น๖ สายญาณด้วยกัน
ง.การตั้งธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ในวิชาไสย์เวทย์
จ. การบรรจุด้วยวิธี สัก เสก เลข ยันต์ คาถา ทิพย์มนต์
ฉ. การใช้วิชาลึกลับบรรจุลง วิชาอิลละมู วิชาเรยูกูระบัด ผสมเข้าด้วยกันทั้งสอง

สำหรับ ผู้ที่นำไปใช้หรือพกพาติดตัว วัตถุอาถรรพ์เหล่านี้จะส่งพลังงานออกมาเมื่อได้รับการกระตุ้นด้วยสารอะดรีนา ลีนเพราะ ฮอร์โมนตัวนี้จะทำให้ปริมาณน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น คือจะเปลี่ยน glycogen เป็น gluclose เป็นผลให้กล้ามเนื้อมีแรงมหาศาลครับ เหล่านี้จะก่อให้เกิดแรงกระตุ้น(stumulator) ทำให้จิตเกิดพลังมหาศาลเหนือสภาวะจิตสามัญหลายร้อยเท่า ดังจะเห็นเช่นคนลงหนุมานสามารถปีนเสาไฟได้อย่างรวดเร็วเป็นต้น บางท่านลงทรงสามารถใช้เข็มแทงตามร่างกาย
คำแนะนำสำหรับท่านที่สวมวัตถุมงคลหรืออื่นๆ ให้กล่าวคำอาราธนา
พุทธังอาราธนานังโลเกมิ  ธัมมังอาราธนานัง โลเกมิ สังฆังอาราธนานัง โลเกมิ
เพื่อให้จิตของท่านตั้งมั่น ไม่ประพฤติกรรมชั่ว มุ่งแต่กรรมดี มีจิตที่เบิกบานครับ

**************************************

สำหรับการศึกษาข้อธรรมต่างๆ วิชาต่างๆ มีข้อหน้าสนใจหลักๆดังนี้
๑. การปฏิบัติจิตเข้าสู่ประตูพระนิพพาน ตามหลักวิปัสนากรรมฐาน the process of mind purification in buddhis meditation
๒. การรักษาโรคด้วยอำนาจจิต และตามหลักโยคศาสตร์
๓. พระธาตุและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ปาฏิหาริย์
๔. การกำเนิดของทวยเทพในศาสนาต่างๆ
๕. กำเนิดพระภูมิประจำบ้าน
๖. เรื่องยาสั่ง
๗. อิทธิวิธีและเดรัจฉานวิชา white and black magic
๘. อำนาจของคุณไสย์ต่างๆ the influence of the black magic
   ฤาษียึดการปฏิบัติ สันโดษ contentment ( การใช้เสรีภาพในขอบเขตจำกัดของแต่ละบุคคล) มิใช่หมายว่า ให้แยกตัวออกจากสังคมอย่างโดดเดี่ยว หากหันหลังให้สังคมแยกตัวโดดเดี่ยว หันหลังให้กับความจริง อาจหลงผิดทางจนเกิดโรคจิตวิปริตได้ครับ
************************

 

 

 

 

เรียบเรียงจาก อาจารย์.ว.จีนประดิษฐ์      หนังสือตำนานพระฤาษี 
                พ.ต.อ. ชลอ อุทกภาชน์    หนังสือแว่นส่องจักรวาล ไว้ณ ที่นี้ครับ

 

 อาจารย์หมอยา ได้นำมาเขียนตามความเข้าใจ เพื่อไว้ให้ท่านทั้งหลายได้อ่าน ผิดถูกอย่างไรก็เป็นบทความหนึ่งเท่านั้น อ่านไว้เพื่อเป็นแนวทางครับไม่จำต้องเชื่อหรือยึดถือ ให้รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหามครับ

 

พระฤาษี คนเราทั่วๆไปมักใช้เรียกขาน ผู้ที่ปฏิบัติตนสมถะ ผู้บำเพ็ญเพียร ด้วยจุดประสงค์ต่างๆเช่น ฤทธิ์ บารมี ความรู้แจ้งในบุญ-บาป ผู้ศึกษา ประพฤติ ปฏิบัติในวิชาการต่างๆ เช่น ว่านยา ไสย์เวทย์ จนจำแนกเป็นสี่ชั้นสำหรับความสำเร็จ คือ
๑ ฤาษี
๒ พรหมฤาษี
๓เทวฤาษี
๔มหาฤษี เป็นต้น

 

ลักษณะต่างๆของฤาษี สำหรับผู้ยึดแนวปฏิบัติจะได้ทราบว่าท่านเป็นฤาษีแบบใด

 

ฤาษี ผู้ปฏิบัติตน อยู่ในสถานที่ต่างๆ ที่สะอาด ใช้เวลาการปฏิบัติตนในเวลากลางวันเป็นส่วนมาก
โยคี ผู้ปฏิบัติตน ในศาสตร์ของการดัดตน ทรมานตน การบังคับการลุกนั่ง กินนอน
มุนี ปฏิบัติแบบพราหมณ์ เป็นผู้ทรงความรู้เน้นด้านการใช้ปัญญาในการปฏิบัติ
พระดาบส ผู้ปฏิบัติตนคล้ายๆ โยคี แต่มุ่งไปในทางถือเพศพรหมณ์จรรย์เพื่อความหลุดพ้นจากกิเลสทั้งหลาย
ชฏิล ทำตัวเหมือนพราหมณ์ เกล้ามวย แต่งกายมอมแมม มักอยู่ไกลในถิ่นทุรกันดาร ไม่ตัดผม ตัดเล็บ
นักสิทธิ์ เป็นผู้ปฏิบัติเป็นนักบวชและในขณะเดียวกันบูชาเทพเทวาไปพร้อมกัน เน้นสัจจะ ความเที่ยงธรรม ความว่างเปล่า ความบริสุทธิ์
นักพรต เป็นผู้ปฏิบัติและด้วยศีลอันบรืสุทธิ์ ดำรงไว้ด้วยความสมถะ มักอยู่ในสถานที่ห่างไกลและสงบร่มเย็น
พราหมณ์ เน้นบำเพ็ญปฏิบัติสร้างบารมี และช่วยเหลือผู้คนทั่วไป ไม่เก็บตัวตามสถานที่ห่างไกล จะคงอยู่ในเมือง
*****************************
นอกจากนี้ยังมีการเอ่ยถึงพระฤาษีที่เป็นตัวแทนของกลุ่มดาวฤกษ์ เรียกว่ากลุ่มดาวหางจรเข้ (ทศฤษี) เป็นรายนามดังนี้ครับ
๑. พระโคดม                   ๖. พระกศป
๒. พระภรัทวาช                ๗. พระอัตริ
๓. พระวิศวามิตร               ๘. พระปเจตัส (พระทักษะประชาบดี)
๔. พระชมทัศนี                ๙. พระภฤคุ
๕. พระวิสิษฐ์                  ๑๐. พระนารท
ทั้งสิบพระฤาษีนี้เป็นตัวแทนหรือมีต้นกำเนิดมาจากพระศิวะหรือพระอิศวรครับ
********************************

ฤาษีแบ่งออกเป็นสี่กลุ่มดังนี้ครับ เพื่อสะดวกในการกล่าวถึงหรือเอ่ยในการทำพิธีต่างๆ ว่าท่านมาจากสวรรค์ชั้นใด
๑. ฤาษีชั้นพรหมฤาษี เช่น ฤาษีพรหมมา ฤาษีพรหมมุนี ฤาษีพรหมนารถ ฤาษีพรหมวาสมิกิ
๒. ฤาษีชั้นเทพ เช่น ฤาษีบรมโกฏิ ฤาษีประลัยโกฏิ ฤาษีนารอท ฤาษีนารายณ์ ฤาษีนาเรศ ฤาษีอิศวร ฤาษีพิฆเนศ ฤาษีเพชรฉลูกัณท์ ฤาษีปัญญาสด ฤาษีตาไฟ ฤาษีหน้าวัว ฤาษีหน้าเนื้อ ฤาศีปัญจสิงขร ฤาษีประโคนธรรพ
๓. ฤาษีชั้นมนุษย์  เช่นฤาษีโกเมน ฤาษีโกเมท ฤาษีโกมุท ฤาษีสัตตบุตร ฤาษีสัตตบัน ฤาษีสัตบงกช ฤาษีโคบุตร ฤาษีโคดม ฤาษีสมมิตร ฤาษีลูกประคำ
๔. ฤาษีชั้นอสูร เช่น ฤาษีคีรีเนศ ฤาษีท้าวเวสสุวัณ ฤาษีท้าวหัสกัณท์ ฤาษีท้าวหิรัญสูร ฤาษีพิลาภ ฤาษีพิรอด ฤาษีท้าวพลี ฤาษีอนัตยักษ์ ฤาษีวาณุราช ฤาษีวาหุโลม
*******************************************

 


# 31
By หมอยา
On 2013-10-16 04:50:46

สักยันต์ทางสายเมตตามหานิยม ของทางเมตตา นิยม วันจันทร์ ขึ้น ๓ ค่ำ (ได้เดือน ๓ ด้วยยิ่งดีครับ) วันเกิดขุนแผน
สักยันต์ทางสายทางคงกระพัน นิยมวันเสาร์ห้า    ของที่สำเร็จในวันนั้นจะมีพลังชัดเจนและเสื่อมยากครับ
สักยันต์ หนุมาน ทุกแบบ เลือกอังคารกับวันเสาร์ดีครับ วันพฤหัสบดี ส่วนมากลงเสริม องค์ครูปู่ฤาษีครับ
สักยันต์ สายพ่อแก่  พ่อครู วันพฤหัสบดี และวันอาทิตย์ดีครับ
สักยันต์ องค์เทพเทวา อังคาร พฤหัสบดี วันเสาร์ดีครับ
สักยันต์ นะ และอื่นๆทั่วๆไป ได้ทุกวันครับ
หมายเหตุ วันเสาร์บางท่านเลือก ขึ้น-แรม ๕ ค่ำ
             วันจันทร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ บางท่านเลือกแบบนี้ครับ


# 30
By หมอยา
On 2013-10-16 03:41:57

 

double click on image to enlarge.

สำหรับนักเสี่ยงโชคทุกท่านครับ..พระอนุวัตน์ราชนิยม หรือที่เรารู้จักกันในเจ้าพ่อยี่กอฮง เจ้าสัวผู้ให้กำเนิดหวย ผู้ที่ชื่นชอบการเสี่ยงโชคต่างๆ โดยเฉพาะหวย เชื่อกันว่าบูชาท่านบนบานศาลกล่าวขอโชคชาภกับท่านมักจะสำเร็จ โดยการแก้บนด้วยกาแฟดำ โอยั้ว เหล้ายี่ห้อดีๆ เกจิคณาจารย์ต่างๆชอบออกเป็นวัตถุมงคลต่างๆให้บูชา โดยมีศาลเจ้าพ่อยี่กอฮงอยู่ที่ สน.พลับพลาชัย กทม ใครชอบเสี่ยงโชคลองบูชาท่านดูครับ
พระอนุวัตน์ราชนิยม (ฮง เตชะวณิช) หรือ ยี่กอฮง เจ้าสัวหวย ก.ข.

ท่านเป็นชาวจีนแต้จิ๋วที่ถือกำเนิดในมณฑลกวางตุ้งในช่วงปี พ.ศ.2394 แซ่ “แต้” และมีนามว่า “หงี่ฮง” บ้างก็ว่าท่านนั้นถือกำเนิดในประเทศไทย ตรงแถวสี่กั๊กพระยาศรี โดยบิดามีอาชีพค้าผ้า ต่อมาเมื่อบิดาของท่านได้เสียชีวิตลง ท่านได้เดินทางไปอยู่กับญาติและศึกษาต่อที่ประเทศจีน จนอายุ 16 ปีจึงเดินทางกลับเข้ามาในประเทศไทยอีกครั้ง ช่วงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โดยตั้งปณิธานว่าจะมาประกอบอาชีพทำการค้าขายในสยามประเทศจนกว่าชีวิตจะหาไม่

การกลับมาพำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทยของท่านครั้นนั้นท่านได้เลือกไปอาศัยและค้าขายอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ แล้วได้สมรสเป็นลูกเขยของคหบดีย่านตลาดสันป่าข่อย จนท่านอายุได้ประมาณ 30 ปีท่านได้โดยล่องแพนำสินค้าลงมาค้าขายอยู่แถวบริเวณหน้าจวนของท่านเจ้าคุณโชฎึกราชเศรษฐี แถววัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร เมื่อค้าขายได้กำไรมีทรัพย์ในระดับหนึ่งแล้วท่านจึงตัดสินใจมาตั้งรกรากทำการค้าอยู่ที่พระนครโดยถาวร โดยเลือกทำเลปลูกตึกอยู่ตรง สน.พลับพลาไชยในปัจจุบัน

ท่านยี่กอฮงได้ประกอบกิจการค้าหลายอย่าง แต่ที่ได้สร้างฐานะให้ท่านจนรุ่งเรืองก็คือ การเป็นเจ้าภาษี โรงต้มกลั่นสุรา โรงบ่อนเบี้ย โรงหวย กอขอ ท่านยี่กอฮงจึงได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้เป็นผู้จัดการดำเนินการควบคุมบ่อนเบี้ยหวย ก ข โดยให้ทำการออกหวยวันละ 2 ครั้งในช่วงสายและเย็น ซึ่งท่านก็ทำหน้าที่นี้ได้ดีเยี่ยม สามารถหาเงินส่งส่วยเข้าท้องพระคลังหลวงได้เป็นจำนวนมา

ตอนที่ท่านรับหน้าที่คุมบ่อนเบี้ยหวยนั้นกล่าวกันว่า ท่านได้ให้ความสนใจในเรื่องวิชาคาถาอาคมของไทยเราเป็นอย่างมาก จนเป็นที่กล่าวขานกันว่าท่านนั้นเป็นผู้มีวิชาอาคมแก่กล้า ในคราวที่ท่านคุมบ่อนฮวยหวยที่สามยอดนั้น ท่านก็นำวิชาอาคมที่เล่าเรียนมาใช้ป้องกันสะกดคู่แข่งหรือฝ่ายตรงข้าม ที่จะเข้ามาใช้เวทมนต์คดโกงหรือเข้ามาสร้างความเสียหายให้กับบ่อนของท่านอยู่บ่อยครั้ง โดยได้กระทำพิธีอย่างถูกต้องตามตำราอย่างสมบูรณ์ ได้รับการกล่าวขานกันว่าอย่าคิดมาโกงหรือใช้คาถาในบ่อนของท่านอย่างเด็ดขาดเพราะจะใช้ไม่ได้ผล จนทำให้กิจการบ่อนฮวยหวยของท่านเจริญรุ่งเรืองอย่างหาใครเทียบไม่ได้เลยในสมัยนั้น

ท่านได้สร้างสาธารณประโยชน์ไว้ อย่างมากมาย อาทิเช่น ถนน, โรงเรียนเผยอิง, ศาลเจ้าเก่าถนนทรงวาด, ศาลเจ้าไต้ฮงกง, ก่อสร้างท่าน้ำฮั่วเซี้ยม, ริเริ่มก่อตั้งโรงพยาบาลเทียนฟ้า และเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งมูลนิธิปอเต็กตึ้งขึ้น โดยชักชวนเหล่าพรรคพวกเพื่อนฝูงในสมัยนั้นเช่นตระกูลหวั่งหลี ล่ำซำ และ ฯลฯ มาร่วมกันสร้างมูลนิธิช่วยเหลือผู้ยากไร้ตกทุกข์ได้ยากและสนับสนุนทุนการศึกษาให้แก่เด็กที่เรียนดีแต่ยากไร้ อีกทั้งยังเป็นตัวตั้งตัวตีในการรณรงค์หาเงินเข้าสภากาชาดไทยอย่างมากมาย

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทราบความและทรงพอพระทัยเป็นอย่างมาก จึงโปรดเกล้าฯ พระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็นรองหัวหมื่น พระอนุวัฒน์ราชนิยม และยังพระราชทานนามสกุลเพื่อเป็นบำเหน็จความดีความชอบและเพื่อเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูลให้ว่า “เตชะวนิช” และในรัชกาลที่ 6 เมื่อมีการออกพระราชบัญญัติเลิกอากรบ่อนเบี้ย และ หวย กอขอ ท่านจึงได้หันไปประกอบกิจการค้าอื่นๆ อาทิ เรือเดินทะเลไปเมืองจีน ทำโรงสีข้าวและอื่นๆ ท่านยี่กอฮงก็ได้ตั้งอกตั้งใจทำการค้ามากมายหลายอย่าง ทั้งค้าขายกับคนไทยด้วยกันและกับชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาค้าขายกับประเทศไทย จนมีโรงสีชื่อ “เคียมฮั่ว” เป็นของตัวเองในเวลานั้น

อันนามว่า “ยี่กอฮง” นั้นท่านได้มาเมื่อครั้นเข้าร่วมขบวนการลับแห่งหนึ่งที่ต่อต้านราชวงศ์ชิง - กอบกู้ราชวงศ์หมิง ด้วยบุคลิกลักษณ์การเป็นผู้นำของท่าน ทำให้ท่านก้าวขึ้นมาสู่ตำแหน่งหัวหน้ารอง เพราะคำว่า “ยี่กอ ” จะมักใช้เรียกผู้ที่ตนนับถือในฐานะพี่รอง แม้ภายหลังสมาคมลับแห่งนี้ได้มีการเปลี่ยนพี่ใหญ่ หรือหัวหน้าใหญ่ใหม่ ท่านก็ไม่ขอรับตำแหน่งพี่ใหญ่ ยังคงความเป็นพี่รองต่อไป เมื่อครั้น ดร.ซุน ยัดเซ็น นักปฏิวัติแห่งสาธารณรัฐจีนเดินทางมาเยือนประเทศไทยก่อนโค่นล้มราชวงศ์ชิงได้สำเร็จ ท่าน ดร.ซุนได้มารู้จักสนิทสนมกับท่านยี่กอฮงเป็นอย่างมาก จนถึงกับขนานนามท่านยี่กอฮงว่าเป็น “ตี๊ย่ง” หรือ “ผู้มีสติปัญญาความกล้าหาญมาก”

ไม่เพียงแต่ท่านจะได้รับการแต่งตั้งเป็นขุนนางในสยามประเทศเท่านั้น ตามประวัติเล่ากันว่าเดิมในยุคนั้นท่านก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นขุนนางแมนจู ขุนนางไต้หวันและขุนนางฝรั่งเศสด้วย รวมท่านได้เป็นขุนนางถึง 4 ประเทศในช่วงเดียวกัน อันเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูลท่านเป็นอย่างมาก

ต่อมาบั้นปลายชีวิตของท่านในช่วงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองการปกครอง ทำให้ท่านเกิดปัญหาด้านการเงินอย่างรุนแรงจนถูกฟ้องล้มละลาย ทรัพย์สินทั้งหมดถูกยึดไปเป็นของหลวง รวมทั้งตัวบ้านของท่านด้วย แต่เนื่องจากท่านได้ประกอบคุณงามความดีให้แก่บ้านเมืองไว้เดิมเป็นอันมาก จึงอนุญาตให้ท่านอาศัยอยู่ในบ้านของท่านตรง สน.พลับพลาไชยไปจนตลอดชีวิต

แล้วในวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2479 ท่านก็ได้เสียชีวิตลงอย่างสงบในบ้านหลังนี้รวมสิริอายุ 85 ปี ศพของท่านได้นำกลับไปฝัง ที่สุสานในเมืองปังโคย ประเทศจีน ในปีต่อมาครอบครัวของท่านก็ต้องย้ายออกจากบ้านพลับพลาไชย เนื่องจากหลวงอดุลเดชจรัส ผู้เป็นอธิบดีกรมตำรวจในสมัยนั้นมีความต้องการใช้บ้านของท่านมาเป็นโรงพักกลางแทนโรงพักสามแยกที่ถูกไฟไหม้เสียหายไป จึงทำการรื้อตัวอาคารเดิมทั้งหมดทิ้งลง แล้วสร้างอาคารใหม่ขึ้นมาแทน และสร้างศาลพ่อปู่เจ้ายี่กอฮงไว้บนโรงพักแห่งนี้ด้วย อันเป็นที่เคารพนับถือเป็นอย่างมากของเหล่าตำรวจและประชาชนทั่วไป

ต่อมาได้มีการก่อสร้าง สน.พลับพลาไชยใหม่อีกครั้งและศาลพ่อปู่เจ้ายี่กอฮงก็ยังได้รับการก่อสร้างขึ้นมาใหม่อีกครั้งในปี พ.ศ. 2537 ด้วย บนดาดฟ้าชั้น 4 คู่กับสน.พลับพลาไชยให้ได้กราบไหว้ขอโชคลาภกันมาถึงปัจจุบัน


# 29
By หมอยา
On 2013-10-07 04:17:59


   โคลงกลอนในโหราศาสตร์ ความหมายของดวงดาว

๑. ยศศักดิ์ให้ทายอาทิตย์            
๒.  รูปร่างจริตให้ทายจันทร์
๓. กล้าแข็งขยันให้ทายอังคาร    
๔. เจรจาอ่อนหวานให้ทายพุธ
๕. ปัญญาบริสุทธิ์ให้ทายพฤหัส    
๖. กิเลสสมบัติให้ทายศุกร์
๗.โทษทุกข์ให้ทายเสาร์          
๘. มัวเมาให้ทายราหู
๙. อายุยืนอยู่ให้ทายเกต              
๐.  ภัยอาเพทให้ทายมฤตยู
โคลงกลอนบทต่อไปนี้เกี่ยวกับ ดาวคู่ศัตรู...

 อาทิตย์ผิดอังคาร              พุธอันธพาลวิวาทราหู
ศุกร์กับเสาร์เป็นเสี้ยนศัตรู      จันทร์กับครู [พฤหัส} เป็นอริต่อกัน 

 โคลงกลอนบทต่อไปนี้เกี่ยวกับ ดาวคู่มิตร...

อาทิตย์เป็นมิตรกับครู             จันทร์โฉมตรูพุธนงเยาว์
ศุกร์ปากหวานอังคารรับเอา     เสาร์ักับราหูเป็นมิตรต่อกัน

 "ดวงชาตาปทุมเกณฑ์"
อนึ่งจันทร์สิบเอ็ดแท้       แก่ลัคน์   
พฤหัสสี่ทรงศักดิ์             แช่มช้อย
ศุกร์สามดั่งนี้จัก              เจริญยิ่งยศแฮ
หากว่าชาติต่ำต้อย         ยกให้เสมอพงศ์
 
" จันทร์ ครุ สุริยา"...
 ทวารทั้งสี่นี้           กรกฏา
 ตุลย์ เมษ มกรา     ครบถ้วน
 จันทร์ ครุ สุริยา     สถิตอยู่
 ได้จักรดั่งนี้ล้วน    ยิ่งล้ำใครเสมอ

 

 

# 28
By หมอยา
On 2013-09-29 06:15:39
พลังพุทธคุณและพลังรัตนตรัย

เป็นพลังบริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้า, พระอรหันต์ และพระธรรม คือ ธรรมชาติแท้ๆ ที่บริสุทธิ์เปลือยเปล่าไร้การปรุ งแต่งใดๆ มีลักษณะที่เบาสบายโล่งเย็น อบอุ่น สงบสุข สงัดจากกามอารมณ์ใดๆ ช่วยให้การปฏิบัติธรรมก้าวหน้า ช่วยชำระจิตวิญญาณที่สกปรกเต็มไปด้วยพันธะและภาระทุกข์ที่รุมเร้าให้ผ่อนคลายสงบร่มเย็นได้ สังเกตได้ว่า ท่านที่เข้าวัดทำบุญก็ดี มักมีจิตสงบเย็นกว่าตอนก่อนเข้าวัดทำบุญ,
***************************************

 

พลังการทำนายของพระพรหม

พรหมที่อยู่ในพรหมโลก เป็นสัตว์ที่มีคุณสมบัติพิเศษทางจิต ที่เหนือกว่าเทวดาทั่วไป คือ ความสามารถในการหยั่งรู้และทำนายทายทัก พร้อมเมตตาบารมี ซึ่งในหมู่พรหมมีมาก ทำให้เกิดความน่าเลื่อมใสศรัทธาของผู้ฟัง ผู้ที่ได้รับพลังนี้ จะมีความสามรถพิเศษในการหยั่งรู้ทำนายทายทักอนาคตผู้อื่น ทั้งยังได้รับความเชื่อถือศรัทธาจากคนทั่วไปตามกำลังของพลังที่ได้รับ มีลักษณะที่เห็นได้ในปัจจุบัน คือ การทรงเจ้า ทรงองค์พรหม สำหรับกลุ่มคนทรงเจ้าที่เป็นคนทรงจริงไม่หลอกลวง ปัจจุบันสามารถสัมภาษณ์พูดคุย และทดสอบ พิสูจน์ความแม่นยำของการทำนายได้
*****************************************

 

พลังการรักษาโรคของเทพเซียน

เทพเซียนบางองค์ มีความรู้และความสามารถที่ได้บำเพ็ญ เพียรมาทางด้านการรักษาโรค เช่น ท่านชีวกโกมารภัทร (หมอประจำตัวของพระพุทธเจ้า), เซียนองค์ที่สามในโป๊ยเซียน (เคยสำรวจพบท่านประทับทรงรักษาโรคให้คนป่วย), พระอรหันต์จี้กง (ในอดีตชาติเคยใช้ขี้ไคล รักษาโรคให้คนป่วย) ฯลฯ สำหรับท่านที่ฝึกจิตจนได้รับพลังในการรักษาโรค ก็จะสามารถใช้พลังนี้ในการรักษาผู้ป่วยได้ ตามกำลังความสามารถที่ได้รับพลังนั้นๆ มา คือ ถ้าได้รับพลังมามาก ใช้ได้มาก ก็รักษาโรคให้คนได้มาก ได้ถึงขั้นโรคที่รักษาในโรงพยาบาลไม่หายก็สามารถรักษาให้หายได้ คนที่ได้รับพลังในการรักษานี้ ส่วนมากจะถูกเลือกแล้วว่าให้บำเพ็ญในด้านนี้ได้ ไม่กระทบกฎแห่งกรรม
**************************

 

พลังในการปราบไสยเวทย์มนต์ดำ

เป็นพลังของเทพ, มหาเทพ หรือพระโพธิสัตว์ที่เคยบำเพ็ญเพียร ด้านการปราบมารมาแล้ว เช่น พระอวโลกิเตศวร, พระศรีอาริยเมตตรัย, พระนาราย เป็นต้น พลังเหล่านี้มีความแตกต่างกัน เช่น พลังของพระอวโลกิเตศวร ภาคต๊กม้อ ค่อนข้างมีรุนแรงและไม่ยั้งมือ กล่าวคือ มารอาจตายไม่รอดได้ สำหรับพลังของพระศรีอาริยเมตตรัย จะไม่รุนแรงสามารถยั้งมือเพื่อเจรจาให้กลับตัวกลับใจได้ ส่วนพลังของพระนารายจะรุนแรงรบแล้วต้องชนะ คือ มารตายสถานเดียว ซึ่งเป็นพลังปราบมารที่รุนแรงที่สุด เสี่ยงต่อการก่อกรรมมากที่สุด เพราะใช้การรบให้ชนะเพื่อปราบมารนั่นเอง ปัจจุบัน การบำเพ็ญของเหล่าเทพและโพธิสัตว์ก้าวหน้าไปมาก จึงมักหาวิธีการลงมือที่ไม่รุนแรงเป็นสำคัญ พลังเหล่านี้ ผู้ที่ได้รับไปจะรู้สึกได้ว่าไม่ถูกกับพวกมาร พวกเล่นคุณไสย ถึงขนาดอยู่ในเขตบริเวณเดียวกันไม่ได้ก็มี บางรายเป็นพระเล่นคุณไสย ร้อนจนทนไม่ได้ต้องออกมาไล่ฆราวาสที่มีพลังขององค์นารายอยู่ เพื่อให้ออกไปไกลๆ จากตนก็มี สำหรับพลังที่อ่อนโยนที่สุดเป็นของพระอวโลกิเตศวรกวนอิม (ภาคเจ้าแม่กวนอิม) คือ พลังในการล้างอาถรรพ์มนต์ดำ (พลังจากน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์)
***********************************

 

 

 

 


# 27
By หมอยา
On 2016-04-13 04:03:55
องค์พระวิษณุกรรมที่ช่างก่อสร้างอุเทนถวาย อยู่ในพระอิริยาบถประทับยืน
คือแบบพระวิษณุกรรมของมหาวิทยาลัยราชมงคลตะวันออก
วิทยาเขตอุเทนถวาย (ช่างก่อสร้างอุเทนถวาย)
พระหัตถ์ข้างขวาถือไม้วา พระหัตถ์ข้างซ้ายถือ ลูกดิ่ง 
 
 
๑.องค์พระวิษณุกรรมของเพาะช่าง ที่นำมาประดิษฐานให้เคารพบูชา เมื่อเปิดโรงเรียนเพาะช่าง 7 มกราคม พ.ศ. 2456
๒.องค์พระวิษณุกรรมของช่างก่อสร้างอุเทนถวาย นำมาประดิษฐานให้เคารพบูชา ตั้งแต่ 23 มีนาคม 2481 23 มีนาคม 2481
๓.องค์พระวิษณุกรรมของช่างกลปทุมวัน นำมาประดิษฐานให้เคารพบูชาตั้งแต่ พ.ศ. 2496
 
 
 

# 26
By หมอยา
On 2016-04-13 04:04:48
การ สร้างเทวรูปพระวิษณุกรรมในประเทศไทย มีการสร้างอยู่ 2 อิริยาบถคือ
อิริยาบถนั่งชันเข่า ที่เรียกว่าปางมหาราชลีลา คือท่านั่งของกษัตริย์หรือเทวดา
กับแบบอิริยาบถประทับยืน
สำหรับอิริยาบถนั่งชันเข่ามีต้นแบบอยู่ 3 แห่งคือ

1. อิริยาบถนั่งชันเข่าแบบพระวิษณุกรรมที่หน้ากรมศิลปากร
คือห้อยพระบาทข้างซ้าย พระหัตถ์ขวาถือผึ่ง
(เครื่องมือสําหรับถากไม้ชนิดหนึ่ง รูปร่างคล้ายจอบ แต่มีด้ามสั้นกว่าใช้ขุดไม้ซุงทำเรือ)
และจะถือดิ่งด้วยพระหัตถ์ซ้าย
 
 
2.องค์พระวิษณุกรรมที่วิทยาลัยเพาะช่าง
อิริยาบถนั่งชันเข่าแบบพระวิษณุกรรมที่มหาวิทยาลัยราชมงคลรัตนโกสินทร์ วิทยาเขตเพาะช่าง
คือห้อยพระบาทข้างขวา พระหัตถ์ขวาถือผึ่ง และจะถือดิ่งด้วยพระหัตถ์ซ้าย
 

3. องค์พระวิษณุกรรมที่ช่างกลปทุมวันแบบอิริยาบถนั่งชันเข่าของพระวิษณุกรรมของสถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน (ช่างกลปทุมวัน) ที่ ห้อยพระบาทข้างซ้าย พระหัตถ์ข้างขวาวางอยู่บนหัวเข่า พระหัตถ์ข้างซ้ายถือ ดอกบัว (ดอกบัวคือสัญลักษณ์ของ สถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน (ช่างกลปทุมวัน) หมายถึงหลักแห่งธรรม เป็นอาวุธที่ให้เหล่าศิษย์ช่างกลปทุมวันต้องใช้ คือปัญญาที่อยู่บนพื้นฐานของหลักธรรม ) รูปภาพ : องค์พระวิษณุกรรมที่ช่างกลปทุมวัน
 
*********************************************
 
 

# 25
By หมอยา
On 2016-04-13 07:46:26
ผลงานของพระวิษณุกรรม
ในมหากาพย์เรื่องมหาภารต และรามายณะ กับตามตำนานฮินดูต่าง ๆ ได้กล่าวถึงผลงานของพระวิษณุกรรม
ที่สรรค์สร้างไว้มากมาย เช่น นางสัญชญา (สัญญา หรือ ศรันยา หรือสันชนา มารดาพระยม)
ซึ่งเป็นธิดานางหนึ่งของพระองค์และเป็นชายาของพระอา..
 
 
ใน พระพุทธศาสนาพระวิษณุกรรมมีหน้าที่คอยรับใช้พระอินทร์ เมื่อพระอินทร์ใคร่จะสร้างเทวาลัยสถานหรือสิ่งหนึ่งสิ่งใด
พระวิษณุกรรมก็มีหน้าที่รับภาระสนองจัดสร้างให้ตามที่พระอินทร์ต้องการ เป็นผู้เปิดเผยคัมภีร์สถาปัตยเวท
และประสิทธิประสาทวิชาการช่างทุกแขนง ให้ปรากฏแก่ชาวโลก (คือเป็นครูช่างของมนุษย์)
การนับถือว่าพระวิษณุกรรมของคนไทย คงได้รับอิทธิพลจากขอม ซึ่งในต้นพุทธศตวรรษที่ 18
 

# 24
By หมอยา
On 2016-04-13 07:47:10
สำหรับ พระเพชรฉลูกรรม หรือพระฤษีเพชรฉลูกรรม หรือ เพชรฉลูกัณณ์
ก็คือ องค์พระวิษณุกรรม ผู้ถือศีล เป็นที่เคารพนับถือของนักไสยศาสตร์กันมาก
ก็เนื่องด้วยพระองค์เป็นผู้สร้างอาวุธอันร้ายกาจให้แก่บรรดาทวยเทพทั้งหลาย
ไว้ประหารความ ชั่วร้าย อย่างศรอาคเนยาสตร์ (อัคนิวาต)
ตำนานการสร้างพระขรรค์ชัยศรีก็เชื่อว่าพระวิษณุกรรมเป็นผู้สร้างด้วย
และยังเป็นผู้ให้ความคุ้มครองดนดีมีศีลธรรมด้วย
 
 
นางนิลบรรพตพระวิศวกรรมหญิงครูฝ่ายเย็บปักถักร้อย

พระวิศวกรรมยังมีรูปที่เป็นหญิงอีกรูปหนึ่ง เป็นครูฝ่ายเย็บปักถักร้อย มีชื่อว่า นางนิลบรรพต
 

# 23
By หมอยา
On 2016-04-13 07:48:39
เทวรูปพระวิศวกรรมของอินเดีย

ทางอินเดียบางตำนานว่าพระองค์เป็นโอรสของ "ภูวนะ" (bhuvana) มีอีกนามหนึ่งว่า ทวัสตริ เป็นเทพอีกองค์หนึ่งที่เป็นศัตรูตัวสำคัญของพระอินทร์ และได้ตายไปเพราะหลงคำสาบของพระอินทร์ แต่แล้วทวัสตริได้ปรากฏขึ้นมาใหม่อีกในนามของพระวิศวกรรม กลายเป็นผู้ช่วยที่ใกล้ชิดที่สุดของพระอินทร์
ทางตำนานไทยว่าพระองค์เป็นนายช่างใหญ่ของพระอินทร์ เพื่อสร้าง เครื่องมือ อุปกรณ์ สิ่งของ อาคาร ต่าง ๆ ให้เกิดขึ้น ทั้งในสวรรค์และบนโลกมนุษย์ และเป็นผู้นำวิชาช่างมาสอนแก่มนุษย์

ในหนังสือเทพเจ้าและสิ่งน่ารู้ พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 กล่าวว่า พระวิศุกรรม ฤาเรียกตามภาษาสันสกฤกตว่าวิศวกรรม และ ตวัสตฤ ก็เรียก นับว่าเป็นศิลปินเอกในหมู่เทวดา ในรูปเขียนของชาวมัชฌิมประเทศ (อินเดีย) กล่าวว่าพระองค์มีพระเนตร ๓ ดวง มีกายสีขาว ทรงชฎาและอาภรณ์สีทอง มือขวาถือคทา มีสร้อยคอและทองกร และมีสี่พระกร โดยพระกรหนึ่งจะถือหม้อน้ำ พระกรที่สองทรงบ่วงบาศ พระกรที่สามทรงหนังสือ ส่วนพระกรสุดท้ายจะถืออาวุธช่าง มีหงส์เป็นสัตว์พาหนะ
 
 
าวดุริย ศิลป์นาฏดุริยางค์ ก็นับถือว่าพระวิศวกรรมเป็นดุริยเทพหรือครูเทพฝ่ายดนตรีองค์หนึ่ง เพราะมีตำนานเล่าสืบกันมาว่า ในครั้งหนึ่งเมืองมนุษย์ทั้งเด็กและผู้ใหญ่จะร้อง จะเล่นแสดงอะไรไม่เป็นระเบียบ มีถ้อยคำที่หยาบโลนความรู้ไปถึงพระอินทร์ จึงสั่งการให้พระวิษณุกรรมให้จำแลงองค์ เป็น ชีปะขาว เที่ยวจาริกไปถึงท้องถิ่นใดก็สั่งสอนเด็ก ๆ และชาวเมืองให้รู้จักร้อง รู้จักเล่นให้เป็นระเบียบ นอกจากนี้ยังดลบันดาลให้เครื่องดนตรีมีลักษณะถูกต้อง และมีเสียงอันไพเราะเป็นแบบฉบับในการสร้างเครื่องดนตรีและการบรรเลงสืบมา ชาวดุริยศิลป์จึงเคารพบูชาพระวิศวกรรมเป็นหนึ่งในดุริยเทพ โดยเพลงที่ใช้เล่นเพื่ออัญเชิญพระวิศวกรรมสู่มณฑลพิธี คือ เพลงเสมอสามลา
ในคัมภีร์นาฏศาสตร์ตอนที่พระภรตฤษีรับเทวโองการจากพระมหาพรหม ให้เริ่มวิธีการแสดงละคร พระภรตฤษีได้ขอให้พระวิษณุกรรมสร้างโรงละคร พระวิษณุกรรมจึงออกแบบสร้างโรงละครไว้ และสอนให้ชาวเมืองมนุษย์รู้จักร้องรำทำเพลง
 
 
 

# 22
By หมอยา
On 2016-04-13 07:48:06
ตาม ลัทธิพราหมณ์ถือว่ากงจักรของพระนารายณ์นี้ปราบได้ทั้งสวรรค์อสูรและใต้บาดาล
มีอิทธิฤทธิ์มากมายเหลือคณานับอาวุธวิเศษ พุทธคุณแห่งจักรนารายณ์
ดีเด่นด้านคุ้มภัยปราบศัตรู ส่งเสริมการงานให้สำเร็จ ปราบทุกข์เข็ญ
อุปสรรคทั้งปวงให้สลายหายสิ้น พิชิตหมู่มารมีชัยเหนือศัตรูทำลายทะลุทะลวง
คุณไสยมนต์ดำอวิชชาต่างๆให้แพ้ สิ้น บรรดาบุคคลในเครื่องแบบมักนิยมบูชา
เนื่องจากทางกองทัพไทยใช้เป็นตราประจำกรมกอง เชื่อว่าเสริมอำนาจบารมีและทำให้การงานไหลลื่น

พระคาถาอาวุธทั้งห้า (คาถาอาวุธวิเศษ)
สักกัสสะวชิราวุธธังเวสสุวัณณัสสะคธาวุธธังยะมัสสะนัยยะนาวุธธังอาฬาวะกะทุ สาวุธธังนารายัสสะจักราวุธธังปัญจะอาวุธธานังเอเตสังอานุภาเวนะปัญจะอาวุธธา ภัคคะภัคคาวิจุณณังวิจุณณาโลมังมาเมนะพุทธะสันติคัจฉะอะมุมหิโอกาเสติฐาหิ
 
 
 
ส่วน ไทยนิยมวาดพระวิษณุกรรม หรือสร้างหัวโขนที่ มีพระเนตร ๓ ดวง กายสีเขียว มีพระโลหิตเป็นสีเลือดหมู ทรงอาภรณ์สีทอง ทรงชฎา มือถือคทา และถือหางนกยูงเป็นเครื่องมือเพื่อโบกเนรมิตให้เกิดสิ่งที่จะสร้าง

และยังหัวโขนเมื่อพระองค์ทรงงานจะมีศีรษะโล้น มีกระบังหน้าหรือโพกผ้าสีขาว บ้างว่า โพกผ้าเขียนลายดอกไม้บริเวณผม เป็นนัยว่าเป็นช่วงที่ทำงานช่างจึงไม่ทรงเครื่องประดับ แต่แบบหลังนี้พบเห็นได้น้อยกว่า
 

# 21
By หมอยา
On 2016-04-13 07:49:23
คาถาพระนารายณ์เปิดโลก

โอม นะโม นารายณะ ฮะเรฮะราม กฤษณะ อิทธิฤทธะ
นะมะอะอุ อิสวาสุ สุสวาอิ จิตติ จิตตะ สะปะอิปิ อิทธิฤทโธ
วิโสธายิ อิติอิตัง อรหังพุทโธ นะโมพุทธายะ


พึงชำระกาย วาจา ใจ ให้สะอาด นั่งสมาธิระลึกถึง พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระธรรม พระอรหันต์ และ สิ่งที่ดีงาม บุญกุศล ที่ทำมาทั้งอดีตและปัจจุบัน แผ่เมตตาไปยังทวยเทพเทวา พระนารายณ์ ซึ่งเป็นเทพองค์หนึ่ง ในขณะที่สวดนั้น ให้ตั้งจิตแน่วแน่ อย่าคิดถึงสิ่งใดทั้งสิ้น มุ่งจิตอยู่ที่บทพระคาถา เท่านั้น บางท่านอาจจะประสพสิ่งที่ปรารถนาโดยไม่คาดฝันก็เป็นได้
 

# 20
By หมอยา
On 2016-04-13 07:51:27
ไอ ยยัปปา เป็นบุตรของพระศิวะและพระวิษณุ เชื่อว่าในสมัยแรกเมื่ออินเดียมีสองนิกายหลักเกิดขึ้นประมาณห้าร้อยปีหลัง พุทธกาล คือพระศิวะ ที่อาจจะมีที่มาจากรุทรเทพและประปศุบดีของเดิมในอารยธรรมดาวิเดียน และพระวิษณุ ซึ่งอาจจะมีที่มาจากกำลังส่วนหนึ่งของพระ อาทิตย์ ดังที่ปรากฏในตำนานเช่นกันดาปุราณะฉบับภาษาทมิฬ(สันสกฤตเรียกว่าสกัน ธปุราณะ) นั้นกล่าวว่าเมื่อพระทักษะประชาบดี ถูกวีรภัทร เทพผู้เกิดจากความโกรธของพระศิวะและนางภัทรกาลีทั้งหลายมาทำลายยัญพิธี แล้วตนก็ถูกวีรภัทรตัดหัวด้วย เพราะเป็นสาเหตุทำให้นางสติ ธิดาของพระทักษะเอง และชายาของพระศิวะ เผาตัวเองตายเพราะทนอับอายที่พระทักษะดูถูกพระศิวะสามีของนางไม่ได้ หลังจากเทพทั้งหลายถูกพวกสาวกของพระศิวะไล่ตีจนพิธีแตกกลับมาพบทักษะนอน ตายอยู่ก็เลยไปขออภัยโทษพระศิวะและขอให้มาเป็นประธานในพิธีนั้น พระศิวะก็เลยเมตตาเปลียนหัวพระทักษะประชาบดีกับแพะ และพระวิษณุก็เลยกล่าวติเตียนพระทักษะว่า พระทักษะนั้นโง่แม้ว่าเขานั้นจะเชิญพระรุทรทั้งหลาย คือพระอัคนี และพระอีสานมาในพิธีแล้ว แต่ไม่เชิญพระศิวะ ซึ่งเป็นประลัยกัลป์รุทรผู้มีหน้าที่ทำลายโลก เป็นเทพรุทรที่สำคัญที่สุดมาพระทักษ์จึงต้องพบชะตากรรมเช่นนั้น และตัวเขาเองก็เป็นบุรุษศักติของพระศิวะด้วยไม่มีความต้องการจะสู้กับพระ ศิวะเลย ซึ่งคำว่าศิกตินั้นอาจมายถึงชายาหรือพลังก็ได้ เชื่อว่าความหมายนี้อาจจะมีการที่ความว่าเป็นเลศนัยสำหรับเรื่องของนางโมหิ นีที่มีตำนานเล่าว่า

แต่เดิมเมื่อพระวิษณุกับพระพรหมเถียงกันว่าใครใหญ่กว่ากันพระศิวะก็เลย เนรมิตรสยัมภูลิงค์ขึ้นที่หาที่สุดไม่ได้ พระวิษณุแปลงเป็นหมูขุดลงไปก็ไม่พบฐาน พระพรหมแปลงเป็นหงส์บินขึ้นไปก็ไม่ถึงยอด พอดีมีดอกจำปีทิพย์(หรือดอกไกต้ากีก็ว่า) ตกมาจากสวรรค์ พระพรหมก็เลยนำดอกไกต้ากีไปอวดว่าตนนั้นพบยอดของสยัมภูลิงค์แล้ว พระวิษณุจึงยอมอ่อนน้อมให้ แต่พระศิวะโกรธมากจึงได้ปรากฏกายขึ้นและสาปให้พระพรหมปราศจากผู้บูชาในโลก และให้วิษณุขอพร พระวิษณุก็ขอพรให้ตนนั้นเป็นผู้ภักดีใกล้ชิดพระศิวะ ดังนั้นพระศิวะจึงให้พระวิษณุแบ่งภาคออกมาเป็นปราศักติ และกลายเป็นนางอุมาเทวีในที่สุด ดังนั้นวิษณุก็คือที่มาของชายาเอกของพระศิวะ? แต่ปัจจุบันชาวทมิฬส่วนใหญ่เชื่อในตำนานที่ว่านางอุมาเทวีคือน้องสาวของพระ วิษณุมากกว่า

แต่ในศิวะปุราณะได้กล่าวว่าเมื่อครั้งที่กวนกระเศียรสมุทรแล้วนางโมหินีมา หลอกล่ออสูรให้เอาน้ำอมฤตให้ตนแล้วตนจะแต่งกับคนที่อดใจรอที่จะได้น้ำอมฤต เป็นคนสุดท้ายและนางก็เป็นผู้แจกจ่ายน้ำอมฤตให้กับพวกเทวดาเท่านั้นอสูรราหู สงสัยว่านางโมหินีจะเป็นกลลวงของวิษณุก็เลยแบ่งเป็นเทวดาไปป่นอยู่กับพวก เทวดา พอได้ดื่มนำอมฤตแล้ว เทวตนหนึ่งเกิดจำราหูได้จึงฟ้องนางโมหินีนางก็เลยกับเพศเป็นพระวิษณุใช้จักร ตัดเศียรราหูแต่เนื่องจากราหูได้นำอมฤตท่อนหัวจึงกลายเป็นราหูท่อนล่างจึง กลายเป็นพระเกตุในหมู่เทพนพเคราะห์ไป ส่วนอสูรทั้งหลายเมื่อรู้ตัวว่าถูกหลอก็เลยจับอาวุธขึ้นสู้แต่ก็แพ้พวกเทวดา ที่ได้น้ำอมฤตแล้ว

ส่วนไอยัปปานั้นมาจากไหน? เนื่องจากบางตำนานในสมัยหนึ่งที่ต้องการประนีประนอมไศวนิกายและวิษณุนิกาย เข้าด้วยกันจึงได้เกิดการบอกว่าพระวิษณุและพระศิวะคือเทพองค์เดียวกัน จึงเกิดประติมากรรมที่ปั้นเป็นรูปขึ้นหนึ่งเป็นพระศิวะครึ่งหนึ่งเป็นพระ วิษณุขึ้นและก็ว่าหนุมานนั้นเป็นกำลังที่แบ่งมาจากพระศิวะเพื่อช่วยพระวิษณุ ในครั้งที่เกิดเป็นพระราม และในรามายณะฉบับท้องถิ่นบางสำนวนก็ว่า พระวิษณุและพระศิวะเป็นเพื่อนแท้ คือกว่าว่าในหัวใจของพระศิวะมีแต่พระวิษณุและในหัวใจของพระวิษณุก็มีแต่พระ ศิวะ คือเทพทั้งสองนี้รักกันมาก จนในศิวะปุราณะเลยเถิดไปว่าหนุมานเกิดจากการที่พระศิวะที่หลงในความงามของ นางโมหินีจึงได้สมสู่กับนางจนน้ำอสุจิเคลื่อนออกมาดังนั้นเหล่าสัปตฤาษีจึง ได้เก็บเอาอสุจิของพระศิวะไปหยอดใสหูนางอัญชนา ธิดาของฤาษีโคดมจนนางตั้งครรภ์กำเนิดหนุมาน(บางตำนานว่านางอัญชนาเป็นลิง สามารถแปลงเป็นนางงามได้ เป็นชายาของพญาลิงเกศรี ได้รับพรจากพระวายุให้เกิดหนุมานก็มี)

แต่ในตำนานของไอยัปปาเล่าว่าเมื่อครั้งที่พระศิวะและพระวิษณุในร่างของนางโม หินี ได้แต่งงานกันและก็อยู่ด้วยกันสัปดาห์หนึ่งในเกาะกลางน้ำแห่งหนึ่งคาดว่าน่า จะเป็นที่เกราลา เพราะหลังจากนั้นก็ให้กำเหนิดบุตรชายไว้กลางน้ำ

เมื่อพระราชราชาศรีกาลาทรงเสด็จประพาสป่า พระองค์ก็ได้พบกับพระกุมารหน้าเทวาลัยของพระศิวะ แล้วพระองค์ก็เกิดเอ็นดูพระกุมาร จู่ ๆ ก็มีอากาศวานี ซึ่งเป็นเสียงร้องมาจากฟ้าสั่งให้ราชาศรีกาลาว่า "นำกุมารนั้นไปเลี้ยงแล้วเมื่อกุมารนั้นมีอายุครบสิบสองปี เขาก็จะทราบถึงความเป็นมาทั้งหมดของเด็กทารกผู้นี้เอง"

แต่เมื่อพระกุมารบุญธรรมได้โตขึ้นก็ได้รับความรักกับพระราชาและพระราชินีมาก จนได้ตำแหน่งรัชทายาทแต่ต่อมาเมื่อพระราชินีมีบุตรที่เกิดขึ้นมาของพระนาง เองความรักก็ได้เปลี่ยนเป็นความอิจฉา และนางก็เลยสมคบคิดกับอำมาตย์ ไดวัลย์ ที่เป็นญาติกันว่างแผนให้บุตรของนาง ราชาราชันย์ ได้ราชสมบัติ ไดวัลย์จึงให้พระเหสีแกล้วหลอกพระราชราชาศรีกาลาว่า พระนางป่วยเป็นโรคร้าย พระราชราชราชาศรีกาลาก็เชื่อ ให้หมอหลวงที่ได้รับสินบนจากราชินีมารักษา หมอก็บอกพระราชราชาศรีกาลาว่า "พระนางเป็นโรคร้ายไม่มีทางรักษาได้ นอกจากใช้น้ำนมของแม่เสือในป่ามามารักษาพระนาง" ดังนั้นให้ราชบุตรบุญธรรมจึงต้องออกไปป่าตามแผ่นร้ายที่ต้องการให้เขาไปตาย จะเอาอะไรกับเด็กน้อยอายุเพียง12ปี แต่ แล้วระหว่างทาง พระราชกุมารได้ปราบอสูรมหิงสี เพราะที่จริงเรื่องมีว่าหลังจากมหิงษาสูรถูกเจ้าแม่ปราศักติ หรือทุราเทวีฆ่าชายาของมหิงษาสูรหรือบางตำนานก็ว่าน้องสาวโกรธแค้นมาจึง บำเพ็ญตบะและได้พรว่าไม่ว่าศักติใดๆหรือพระวิษณุพระศิวะก็ฆ่านางไม่ได้ ดังนั้นพระศิวะและพระวิษณุจึงจำเป็นต้องสร้างเทพนักรบองค์ใหม่มากำจัดนางที่ อยู่ในป่าคอยเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์และต้องตัวเป็นศัตรูกับพระเจ้า ฉะนั้นพระวิษณุจึงแปลงเป็นโมหินีและแต่งงานกับพระศิวะเพื่อให้กำเนิดสวามี อัยยัยปปาดังกล่าว ดังนั้นพระกุมารซึ่งได้เปิดเผยตนแล้วว่าคือมหาเทพไอยยัปาบุตรของพระศิวะและ วิษณุจึงได้ขี่เสือและตอนพญาเสือโครงในป่าทั้งหมดกลับเข้าไปในเมืองเมื่อพระ ราชาศรีกาลา ทราบเรื่องทั้งหมดก็จะลงโทษพระราชินีกับผู้สมรู้ร่วมคิดทั้งหมด แต่สวามีไอยัปปามีจิดใจมีเมตตามากและเห็นแก่ความสงบสุขของบ้านเมืองไม่ต้อง การให้เกิดความแค้นที่เกิดจากการเข่นฆ่ากันอีกให้อภัยและก็จะกลับสวรรค์ไป เพื่อระลึกถึงสวามีไอยัปปา กษัตริย์เกราลา พระราชราชาศรีกาลาจึงได้ต้องการสร้างวัดของไอยัปปาขึ้นดังนั้นไม่รู้จะสร้าง ที่ไหน ไอยยัปปาก็เลยแผงลูกศรไปตกที่เขาแห่งหนึ่ง และก็กลับสวรรค์ไป ต่อมาพระราชราชาศรีกาลาไม่รู้จะสร้างวัดไอยัปปาอย่างไร พระอินทร์จึงได้ส่งวิษณุกรรมมาช่วยสร้างจนเสร็จ

สวามีไอยัปปา คำว่า ไอยะ หมายถึงผู้ปกป้อง ผู้ดูแลโค ก็ได้ ส่วน อัปปาหมายถึงพ่อ สวามีใช้เรียกพระเป็นเจ้า หรือพระนักบวช ดังนั้น สวามีไอยัปปา คงหมายถึง เจ้าพ่อผู้เป็นดังพ่อผู้ปกป้อง (ของชนทั้งหลาย) นอกจากนี้ไอยยัปปายังมีชื่ออื่นเช่น ไอยานาร ซึ่งแต่เดิมน่าจะเป็นวีรชนในยุคโบราณทั้งหลายทางใต้ที่ถูกจารึกไว้บนหินฮีโร สโตน นานวันก็ทำเป็นรูปเคารพขึ้นมา ในทางทมิฬเชื่อว่าเป็นเทพคุ้มครองนาไร่ และว่าเป็นองค์เดียวกับไอยัปปา ,มณีกัณดัม (มณีกัณฐัม) หมายถึงผู้มีคอพระดับด้วยแก้วมณีแต่เดิมเป็นนามของพระกฤษณะและพุทธเจ้าใน พุทธศาสนามหายาน , หริหระ เป็นรูปเคารพครึ่งหนึ่งคือพระวิษณุครึ่งองค์เป็นพระศิวะ ที่เชื่อว่าแท้จริงพระวิษณุและพระศิวะเป็นเทพองค์เดียวกัน ต่อมาก็ว่าเป็นการสังโยคของพระศิวะกับวิษณุ จนทำให้เกิดตำนานรักบันลือโลกของพระศิวะและนางโมหินี ซึ่งไม่ใช่ชายแต่งเป็นหญิงตามความคิดของคนไทยดังเช่นในเรื่องรามเกียรติหรือ ศิวะปุราณะ พระนางนารายณ์ของอินเดียเป็นหญิงจริงมีลูกคือไอยัปปานั้นเองดังนั้นหริหระ นี้ ก็กลับกลายเป็นนามที่ใช้เรียกไอยัปปาด้วย จากเรื่องของนางโมหินีและอะระวนิที่กำกวมในเรื่องเพศสุดท้ายก็มาหาทางออกและ สรุที่ไอยยัปปา ซึ่งกลับกลายเป็นเทพพรหมจารีอันบริสุทธิ์ปราศจากเรื่องเพศ และทรงนิยมสีดำหรือน้ำเงินเข้ม ซึ่งแต่เดิมเป็นสีของคนวรรณศูทร ซึ่งเทศกาลบูชาไอยัปปาจะอยู่ในช่วงเดือนไตมาศัม ของทมิฬซึ่งเป็นช่วงคราบเกี่ยวในช่วงบูชาพระสกันธกุมารและพระศิวะในช่วงสิ้น ปีและเริ่มปีใหม่นั้นเองผู้ศรัทธาสวามีไอยัปปาจะนุ่งหมด้วยสีดำ และถือศิลอดเพื่อชำระล้างจิตใจให้บริสุทธิ์ และไปนมัสการตามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายเพื่อแสวงบุญ

ความเชื่อของอระวานิ ไอยานาร ไอยัปปา จึงสะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดความเปลี่ยนแปลงของลัทธิศักติในอินเดียจากที่หมก หมุ่นในเรื่องเพศ และความรักบันลือโลกของนางโมหินี และศิวะ ได้ถูกชะล้างให้กลายเป็นลัทธิที่มีแนวคิดอันบริสุทธิ์แล้วด้วยเรื่องของไอ ยัปปา และเป็นประตูให้นักคิดนักศาสนาอินเดียได้พัฒนาลัทธิศักติอินเตอร์ ในยุคหลังดังเช่นรามกฤษณะมิชั่นมัส ที่นับถือเจ้าแม่กาลีแต่ปราศจากเรื่องเพศโดยสินเชิง และบอกว่าแท้จริงทุกศาสนาสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข



โดย วรเดวีณา
 

# 19
By หมอยา
On 2016-04-13 07:50:53
เทวดาพระเกตุนาคราช
" เทพเจ้าแห่งสมบัติในบาดาลพิภพ ความศักดิ์สิทธิ์ ลางสังหรณ์ "

เทพประจำตัวไม่ประจำวัน
“ บุคคลที่ได้บูชาเทพพระองค์นี้ จะทำให้มีทรัพย์ มีที่อยู่อาศัยที่มั่นคง
มีพาหนะ มีทรัพย์สิน แก้วแหวนเงินทอง ไม่ขาดตกบกพร่อง ”

หลักเทวกำเนิด เทพพระเกตุ “เทพเจ้าแห่งความศักดิ์สิทธิ์และลางสังหรณ์”
เกิดจากพญานาค 9 องค์ ซึ่งพญานาคมีหัวหน้าใหญ่ คือ องค์วิรุฬปักโข ซึ่งเป็นเทวดาในชั้นมหาจตุราชิกาครอบครองทางทิศตะวันตก เป็นเจ้าแห่งแผ่นดิน แห่งทรัพย์ในดิน และเป็นมหาเทพ ที่แสดงถึงฤทธิ์และเดช ที่มีกำลังมาก เหลือเกิน

โบราณจะถือองค์เทพพระเกตุ เป็นองค์เทพที่สำคัญที่จะต้องบูชาก่อนบวงสรวงทุกครั้ง ทุกครา ถือว่าเป็นวิญญาณธาตุและสิ่งสำคัญ คือ เป็นมหาเทพที่จะคอยคุ้มครอง เป็นฉัตรแก้วกั้นเกศ เป็นมหาเทพที่สำคัญ

พุทธคุณเทวคุณในการบูชาเทพพระเกตุ
บุคคลที่ได้บูชาเทพพระองค์นี้ จะทำให้มีทรัพย์ มีที่อยู่ที่อาศัยที่มั่นคง มีพาหนะ คือ รถยนต์ มีทรัพย์สิน แก้วแหวนเงินทองไม่ขาดตกบกพร่อง ทำบุญทุกครั้งอุทิศบุญให้เทพพระ เกตุและพญานาคทั้ง 4 ตระกูล อันได้แก่ ตระกูลเอราบถ ตระกูลฉัพยะปุตตะ ตระกูลกัญหาโคตม และตระกูลวิรูฬปักษ์ ก่อนนอนให้สวดบทคาถาพาหุง จะมีชัยชนะต่อภยันตราย จะมีแต่ความสุข ความเจริญ ทำบุญคราใดอุทิศถวายแด่เทพพระเกตุและองค์พญานาคทั้ง 4 ตระกูลนี้ ชีวิตท่านจะไม่มีเคราะห์ จะมีแต่ความสุข ความเจริญทุกประการ

พระคาถาบูชา
“ อิติปิโส ภะคะวา พระเกตุจะมัสมิง จะ พุทธะคุณัง จะ ธัมมะคุณัง จะ สังฆะคุณัง สัพพะทุกขัง สัพพะภะยัง สัพพะโรคัง วิวัชชะเย สัพพะลาภัง ภะวันตุเม ”

เมื่อท่านสวดมนต์ไหว้พระ ก่อนนอน สวดพระคาถานี้ แล้วอุทิศบุญ อุทิศกุศลถวายแด่พระองค์ท่าน แด่เทพพระเกตุ โดยมีรูปองค์ท่าน ภาพของท่าน เหรียญหรือจะเป็นอะไรที่เกี่ยวข้องกับท่าน พระเกตุจะคุ้มครองรักษาท่านแม้ยามหลับให้หลับฝันดี มีความสุข ความเจริญและชีวิตจะผ่านพ้นโพยภัย ไม่จำเพาะแต่ท่านที่ไม่รู้วันเกิดเท่านั้น บูชาได้สำหรับทุกๆคน ทุกราศี
 

# 18
By หมอยา
On 2016-04-13 07:50:28
การบูชาพระราหู จะนำความสำเร็จหรือมีโชคอย่างดีที่สุด และมีทางจะร่ำรวยด้วยอิทธิพลของเลข ๘ การบูชาจึงให้ใช้ของดำ ๘ อย่าง ดังนี้
ไก่ดำ เหล้าดำ การแฟดำ เฉาก๊วย ข้าวเหนียวดำ ถั่วดำ ขนมเปียกปูนดำ และไข่ดำ
จะมีความสำเร็จหรือมีโชคลาภอยู่เสมอ การเงิน การลงทุนทุกอย่างจะมีทางรวย ปัญหาที่มีบ้างก็สามารถแก้ไขไปจนเรียบร้อย
การบูชาพระราหูเป็นการเสียเงินค่าบูชาน้อยมาก แต่ก็จะสามารถแก้ไขได้ทุกอย่างได้อย่างดี แทนที่จะไปโดนหลอกลวงเสียเงินเป็นแสนเป็นล้านก็จะรอดพ้นไปได้อย่างสบายๆ ไม่มีความงมงาย

ส่วนมากจะเป็นคุณหญิงคุณนายประเภทไฮโซมีเงินมากมายมหาศาล แต่มีปัญญานิ่ม ก็ต้องโดนหลอกเสียอย่างสาสม เพราะความหึงหวงสามีกลัวจะมีเมียน้อย และประเภทเมียน้อยกลัวสามีจะรักน้อยไป ก็ไปให้หมอดูเจิมตัวให้เกิดเสน่ห์ต่างๆ จนเกิดมีเรื่องเสียหายเกิดขึ้นบ่อยๆ และด้วยความอับอาย ก็ต้องแล้วๆกันไป บางทีก็ถูกรีดไถกันเสียหายต่อไปอีกด้วย

การบูชาพระราหู เมื่อได้ของดำ ๘ อย่างมาแล้ว ก็ทำพิธีกลางแจ้ง ใช้โต๊ะวางกลางแจ้ง หรือที่สนาม หรือที่ดาดฟ้าก็ได้ บางทีก็ทำที่ระเบียงที่มีลมพัดผ่านได้

อาหารต้องเป็นของดำที่สุกแล้ว สามารถนำมากินหรือดื่มต่อไปได้ การจะให้ขลังต้องดื่มหรือเอาไปอาบจะดีมาก ส่วนอาหารประเภทกินได้ ก็นำมากินได้เช่นเดียวกัน และสามารถจะนำไปแจกจ่ายคนข้างบ้านได้ด้วย

การบูชาพระราหู จะอธิษฐานอย่างไรตามใจปรารถนา และสามารถทำได้ทุกวันพุธตอนกลางคืน เวลาอะไรก็ได้ ในวันพุธแรกที่บูชา จะเป็นของดำที่ครบชุดหรือชุดใหญ่ และสามารถบูชากันทั้งบ้าน หรือชักชวนคนอื่นๆมาบูชากันก็ได้ ส่วนของบูชาใช้ชุดเดียวกันนั้นเท่านั้น แต่ต้องใช้ธูปดำคนละ ๘ ดอกต่างหาก

ครั้งแรกบูชาครบชุดแล้ว ครั้งต่อๆไปก็ใช้เฉพาะเหล้า ๑ จอก และธูป ๘ ดอก ในการอธิษฐาน หรือขอพรความสำเร็จ การบูชาพระราหูดังกล่าวนี้ไม่ใช่การบูชาพระราหูประจำวัน แต่เป็นการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้มีการช่วยเหลือในทางโชคลาภ หรือเป็นการป้องกันภัยต่างๆที่จะเกิดขึ้นต่อไป เป็นการบูชาที่ขออะไรก็ได้ แม้บางอย่างจะเป็นการโลภหรือเป็นการผิดกฎหมายก็ได้ แต่ทั้งนี้อย่าได้ผิดศีลธรรมที่ดี การเงิน ความสำเร็จทั่วไป จะเกิดขึ้นกับทุกท่านที่บูชาพระราหูด้วยความศรัทธา

การบูชาพระราหู หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "เทพราหู" ซึ่งถือเป็นเทพองค์หนึ่ง สามารถบันดาลประโยชน์และโทษให้เกิดขึ้นกับบุคคลหรือสิ่งต่างๆได้

ฉะนั้น เพื่อให้โชคร้ายอันอาจจะเกิดขึ้นบรรเทาลง หรือแปรเปลี่ยนเป็นสิ่งดีงาม จึงได้คิดค้นวิธีบูชาเทพองค์นี้โดยไม่ต้องขอให้คนอื่นมาทำพิธีให้ สามารถกระทำการบูชาด้วยตัวเอง และไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากมายอะไร

วันบูชา ขอให้บูชาในวันพุธตอนกลางคืน (เวลาใดก็ได้ที่สะดวก) กลางแจ้งที่มีลมพัดผ่าน

ทิศ หันหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ

ของบูชา ๘ อย่าง ดังที่กล่าวไว้แล้ว

ท่านที่หาของตามนี้ไม่ได้ ก็เปลี่ยนเป็นของดำอย่างอื่น เช่น องุ่นดำ งาดำ น้ำอัดลมสีดำ ก็ได้ ทั้งนี้ของดำทั้ง ๘ อย่างต้องให้สุกทั้งหมด (หมายถึงพร้อมกินหรือดื่มได้)

การกล่าวคำบูชา ข้าแต่พระราหูเทพเจ้าแห่งโชคลาภ ข้าขอนำอาหารมาบูชา ขอจงดื่มและกินตามอัธยาศัย ขอจงช่วยคุ้มครองข้า (บอกชื่อผู้บูชา) และขอให้พ้นจากอันตราย ให้ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ และขอให้มีความสุขความเจริญ มีเงินทอง มีโชคลาภตลอดไป

เสร็จพิธี เมื่อธูปหมดดอกก็เป็นอันเสร็จพิธี ให้นำของบูชาทั้งหมดมารับประทานได้ เหล้าให้นำมาดื่มหรือผสมน้ำอาบก็ได้ (ไม่มีคำลา)

การบูชาครั้งแรก จงบูชาด้วยของดำ ๘ อย่าง และธูปดำ ๘ ดอก วันพุธตอนกลางคืน วันพุธต่อไปให้บูชาด้วยเหล้า ๑ จอก ธูปดำ ๘ ดอก

ข้อยกเว้น อาจทำพิเศษในคืนวันที่ ๓ , ๘ , ๑๒ , ๑๘ , ๒๘
คนเกิดวันพุธกลางคืน ถ้าบูชาตลอดชีวิตได้จะดีมาก

คนที่เกิดวันที่ ๓ , ๘ , ๑๒ , ๑๘ , ๒๘ หรือบ้านเลขที่ บัตรประจำตัวประชาชน บัตรข้าราชการ เลขทะเบียนบ้าน เบอร์โทรศัพท์ที่ลงท้ายด้วยเลข ๘ คนที่มีอักษร ย ร ล ว อยู่ในชื่อ ควรบูชาพระราหูเป็นประจำ จะเกิดความร่ำรวยและมีความสำเร็จในกิจการงานทั้งปวง นอกจากนี้จะมีความปลอดภัยในการเดินทางไกล การเสี่ยงโชค หรือการลงทุนจะร่ำรวยดีมาก

การบูชาพระราหู ผู้บูชาจะต้องมีศีลมีธรรมและมีความดี มีคุณธรรมสูง และทำบุญกุศลอยู่เสมอ ความร่ำรวยหรือโชคลาภใหญ่ก็จะเกิดขึ้นได้

ตามตำรับของโหร อรรถวิโรจน์ ศรีตุลา
 
 
 
ตามตำนานเล่ากำเนิดของพระราหูมีมากมาย ดังนี้

พระราหูเป็นโอรสของพระวิประจิตติ และพระนางสิหิกา เมื่อแรกเกิดขึ้น พระราหูมีหางเป็นนาค สถิตอยู่ในวิมานสีนิชล หรือสีดำขลับ โดยมีพาหนะเป็นพญาครุฑ พระราหูถิเป็นเทวะองค์ที่ 8 ในบรรดาเทพแห่งนพเคราะห์
ในคัมภีร์อินเดียโบราณ บันทึกว่าพระศิวะได้นิรมิตผีโขมด 12 ตน และร่ายพระเวทป่นให้ผีนั้นแหลกละเอียดเป็นผุยผงจากนั้นนำผ้าสีดำสนิทมาห่อ และประพรหมด้วยน้ำอมฤตเสกสรรบันดาลให้กลายเป็นเทวะองค์ที่ 8 นามว่าพระราหู พระราหูทรงเป็นอสูรเทพ คือเป็นเทพที่มีรูปกายเป็นยักษ์นั่นเอง มีพระวรกายเป็นสีดำสนิท และทรงอาภรณ์สีดำบ้างก็สีทองแดง
ในคัมภีร์โบราณฮินดูกล่าวว่าพระราหูเป็นโอรสของพระพฤหัสบดีกับนางสิหิกา มีหาหนะเป็นสิงห์
พระราหูทรงเป็นพี่น้องกับพระอาทิตย์ และพระจันทร์ ก่อนมากำเนินบนสวรรค์ มีเรื่องเล่าว่า อดีตชาติมีเรื่องราวเกิดขึ้นที่บ้านของเศรษฐีผู้มั่งคั่งผู้หนึ่ง มีบุตรชาย 3 คน คนโตอดีตชาติคือพระอาทิตย์ คนรองอดีตชาติคือพระจันทร์ และคนสุดท้องอดีตชาติคือพระราหู ต่อมาเมื่อเศรษฐีได้ถึงแก่กรรมลง ทั้ง 3 พี่น้องได้นิมนต์พระมาทำบุญโดยการใส่บาตร พี่คนโตคว้าขันทองคำพร้อมอธิษฐานด้วยเสียงดังว่า ผลบุญที่กระทำไว้จงส่งผลให้เกิดเป็นพระอาทิตย์เพื่อส่องแสงในยามกลางวัน พี่คนรองคว้าได้ขันเงิน เมื่อใส่บาตรเสร็จจึงอธิฐานดัง ๆ ว่า ขอให้เกิดเป็นพระจันทร์ทำหน้าที่ส่องแสงในยามค่ำคืน ส่วนคนสุดท้องเมื่อได้ฟังพี่ชายทั้ง 2 ของตนอธิฐานก็โกรธเป็นอย่างมาก จึงคว้ากระบุงใส่ข้าวมาใส่บาตร อธิฐานดัง ๆ ว่า ขอให้ตนเกิดเป็นพี่ชายใหญ่ของพระอาทิตย์ และพระจันทร์ มีร่างกายใหญ่โตจนสามารถบดบังแสงของพระอาทิตย์ และพระจันทร์ไว้ กาลเวลาต่อมาเมื่อทั้ง 3 คน สิ้นอายุขัยลง คำอธิฐานไว้ก็เป็นไปดังที่ขอทั้งสิ้น เวลากลางวันเมื่อพระราหูโคจรมาพบพระอาทิตย์ ก็บดบังแสงไว้มิให้ส่องลงมายังโลก เหตุนี้จึงเรียกว่าการเกิดสุริยุปราคา และเวลากลางคืนพระราหูก็จะบดบังอมพระจันทร์ไว้ให้มืดมิด เหตุนี้จึงเรียกว่าการเกิดจันทรุปราคา ส่วนเหตุที่ทำให้พระราหูมีร่างขาดเป็น 2 ท่อน เล่ากันว่าพระราหูได้แปลงตัวเป็นเทวะองค์หนึ่งเข้าร่วมการชุมนุมของทวยเทพ และได้ดื่มน้ำอมฤตเข้าไป แต่ทว่า พระสุริยาทิตย์ และพระจันทร์ได้สังเกตเห็น จึงนำความไปบอกพระวิษณุ หรือพระนารายณ์ ว่าพระราหูลอบแปลงร่างเข้ามาดื่มน้ำอมฤต พระนารายณ์ทรงกริ้วนำ จึงขว้างด้วยจักรถูกพระราหูจนขาดไปครึ่งองค์ แต่หาได้ทรงสิ้นชีพ เนื่องจากได้ดื่มน้ำอมฤตเข้าไปแล้ว จึงมีฤทธานุภาพสูงเทียมเท่ากับ เทวะทั้งมวล พระราหูจึงเหลือแต่ท่อนหัว ล่องลอยไปมาในสวสรรค์คอยจับพระอาทิตย์ และพระจันทร์มากินเพื่อแก้แค้นเช่นเดิม ส่วนท่อนล่างของพระราหูที่กระเด็นขาดหายไปได้กลายไปเป็นพระเกตุ เป็นเทวะแห่งนพเคราะห์องค์ที่ 9 ซึ่งมีรูปลักษณ์เป็นดาวหาง หรือผีพุ่งไต้ เกิดขึ้นนาน ๆ ครั้งในชั้นบรรยากาศนั่นเอง

ลักษณะความเชื่อ

โดยมีความเชื่อกันว่าการบูชาพระราหูหรือ เรียกอีกชื่อ หนึ่งว่า “เทพราหู” ซึ่งถือเป็นเทพงค์หนึ่ง สามารถบันดาลประโยชน์และโทษให้เกิดขึ้นกับบุคคล หรือสิ่งต่าง ๆ ได้ ดังนั้นจึงได้มีคิดค้นวิธีการบูชาพระราหูเกิดขึ้น เนื่องจากมีความเชื่อว่าให้สิ่งที่เลวร้ายอันอาจจะเกิดขึ้น ให้บรรเทาเบาบางลง แปรเปลี่ยนเป็นสิ่งที่ดี เกิดความสำเร็จในหน้าที่การงาน มีโชคมีลาภ เจริญก้าวหน้าร่ำรวย
 
 
 

# 17
By หมอยา
On 2016-04-13 07:52:39
พระอินทร์ หรือ ท้าวอมรินทร์เทวาธิราช
พระอินทร์ผู้เป็นใหญ่แห่งสรวงสวรรค์

พระอินทร์เป็นตำแหน่งของพระราชาแห่งเทพทั้งปวง ในสรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ตำแหน่งนี้จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียน ไปตามผลแห่งบุญกรรมที่ได้กระทำไว้ พระอินทร์องค์ใดสิ้นบุญ ก็จะมีองค์ใหม่ขึ้นมาแทนที่ กล่าวได้ว่า พระอินทร์นั้นมีหลายองค์ แต่ละองค์ก็มีอายุขัยเป็นไปตามบุญกุศลที่ตนได้กระทำมา

เรื่องราวของพระอินทร์น่าจะเป็นบทเรียนที่ช่วยให้รู้และเข้าใจถึงการทำ ประโยชน์เพื่อส่วนรวม ว่าท่านคิดอะไรถึงได้ทำเช่นนั้น นอกจากนี้การได้เรียนรู้วิธีคิดและการกระทำของพระอินทร์ เป็นสิ่งที่เราสามารถกระทำตามได้ไม่ยาก ไม่ใช่เรื่องห่างไกลและเฟ้อฝันเลย เพราะตัวท่านเองก็ได้ประพฤติปฏิบัติเช่นนี้ในขณะที่ยังเป็นมนุษย์ปุถุชน ซึ่งในที่นี้จะกล่าวถึงพระอินทร์สมัยพุทธกาลเท่านั้น

อดีตชาติของพระอินทร์

ณ หมู่บ้านมจลคาม แคว้นมคธ มีมาณพคนหนึ่งชื่อว่า มฆมาณพ มีใจใฝ่ให้ทาน รักษาศีลอยู่เสมอ ทั้งยังชอบแผ้วทาง ทำงานสาธารณประโยชน์ต่างๆ เช่น ปรับพื้นที่ให้เรียบเสมอกัน สร้างศาลา ปลูกต้นไม้ ขุดสระน้ำ ทำถนนหนทาง ทำสะพาน จัดทำจัดหาตุ่มน้ำ และสิ่งทั้งหลายเพื่อประโยชน์แก่ส่วนรวม มีปกติชอบความสะอาดเรียบร้อย ต้องการให้ท้องถิ่นดูสะอาดน่ารื่นรมย์

คิดดี คิดถูก คิดเป็น นำมาซึ่งความสุข

ขณะที่มฆมาณพทำงานในหมู่บ้าน ก็ใช้เท้าเกลี่ยฝุ่นในที่ซึ่งยืนอยู่ให้เรียบ คนอื่นเข้ามาแย่งที่ก็ไม่โกรธ กลับถอยไปทำที่อื่นให้เรียบต่อ แต่ก็ยังมีคนมายึดที่ที่เกลี่ยเรียบไว้แล้วนั้นอีก ถึงกระนั้นมฆมาณพก็ไม่โกรธ กลับเห็นว่าคนทั้งปวงมีความสุขด้วยการกระทำของตน ฉะนั้นกรรมนี้ ย่อมส่งผลกลับมาเป็นบุญที่ให้สุขแก่ตนแน่

มฆมาณพก็ยิ่งมีจิตขะมักเขม้น ตั้งใจที่จะทำพื้นที่ให้เป็นที่น่ารื่นรมย์มากยิ่งๆ ขึ้น จึงใช้จอบขุดปรับพื้นที่ให้เรียบเป็นลานให้แก่คนทั้งหลาย ทั้งยังเอาใจใส่ให้ไฟให้น้ำในเวลาที่ต้องการและได้แผ้วถางสร้างทางสำหรับคน ทั้งหลาย

ต่อมามีชายหนุ่มอีกหลายคนได้เห็นก็มีใจนิยมมาสมัคร เป็นสหายร่วมกันทำทางเพิ่มขึ้น จนมีจำนวนนับได้ ๓๓ คน ทั้งหมดช่วยกันขุดถมทำถนนยาวออกไป จนถึงประมาณโยชน์หนึ่งบ้างสองโยชน์บ้างเมื่อประพฤติธรรม ย่อมไม่หวั่นภัยใด ๆ

ฝ่ายนายบ้านเห็นว่าคนเหล่านั้นประกอบการงานที่ไม่เหมาะสม ไม่สมควร จึงเรียกว่าสอบถามและสั่งให้เลิก แต่มฆมาณพและสหายกลับกล่าวว่า พวกตนทำทางสวรรค์ จึงไม่ฟังคำห้ามของนายบ้าน พากันทำประโยชน์ต่อไป นายบ้านโกรธและไปทูลฟ้องพระราชาว่า มีโจรคุมกันมาเป็นพวก พระราชามิได้พิจารณาไต่สวน หลงเชื่อมีรับสั่งให้จับมฆมาณพและสหายมา แล้วปล่อยช้างให้เหยียบเสียให้ตายทั้งหมด

ฝ่ายมฆมาณพเห็นเช่นนั้นก็ได้ให้โอวาทแก่สหายทั้งหลาย ไม่ให้โกรธผู้ใดและให้แผ่เมตตาจิตไปยังพระราชา นายบ้าน ช้างและตนเอง ให้เสมอเท่ากัน ชายหนุ่มทั้งหมดได้ปฏิบัติตาม ช้างไม่สามารถเข้าใกล้ด้วยอำนาจเมตตา

พระราชาเห็นดังนั้นจึงรับสั่งให้ใช้เสื่อลำแพนปูปิดคนเหล่านั้นเสีย แล้วปล่อยให้ช้างเหยียบอีก แต่ช้างกลับถอยไป พระราชารับสั่งให้นำคนเหล่านั้นมาเข้าเฝ้า แล้วตรัสสอบถาม เมื่อทรงทราบความจริง ก็ทรงโสมนัสและทรงแต่งตั้งมฆมาณพให้เป็นนายบ้านแทนนายบ้านคนเดิม ซึ่งตอนนี้ถูกลงโทษให้เป็นทาส

บุญเท่านั้น ที่เป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย

สหายทั้ง ๓๓ คน นอกจากจะได้พ้นโทษออกมา ยังได้รับพระราชทานกำลังสนับสนุน ก็ยิ่งเห็นอานิสงส์ของบุญ มีใจผ่องใสคิดทำบุญให้ยิ่งๆ ขึ้นไปอีก ได้สร้างศาลาเป็นที่พักของมหาชนเป็นถาวรวัตถุที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง

ศาลานั้นได้แบ่งออกเป็น ๓ ส่วน คือ ส่วนหนึ่งเป็นที่อยู่ที่พักสำหรับคนทั่วไป ส่วนหนึ่งสำหรับคนเข็ญใจ ส่วนหนึ่งสำหรับคนป่วย ทั้ง ๓๓ คนได้ปูลาดแผ่นอาสนะไว้ทั้ง ๓๓ ที่ โดยตกลงกันไว้ว่า ถ้าอาคันตุกะเข้าไปพักบนแผ่นอาสนะของผู้ใด ก็ให้เป็นภาระของผู้นั้นจะรับรองเลี้ยงดู มฆมาณพยังได้ปลูกต้นทองหลาง (โกวิฬาระ) ไว้ต้นหนึ่งในที่ไม่ไกลจากศาลา ภายใต้ต้นทองหลางได้วางแผ่นหินไว้ด้วย

มฆมาณพและสหายบำเพ็ญสาธารณกุศลเช่นนี้ตลอดชีวิต เรียกว่า บำเพ็ญวัตตบท ๗ ประการ ครั้นสิ้นอายุได้บังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
วัตตบท ๗ ประการได้แก่

๑. เลี้ยงมารดาบิดาตลอดชีวิต
๒. ประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ในตระกูลตลอดชีวิต
๓. มีวาจานุ่มนวลสุภาพตลอดชีวิต
๔. มีวาจาไม่ส่อเสียดตลอดชีวิต
๕. มีใจปราศจากความตระหนี่ ยินดีในการแจกทาน ครองเรือนตลอดชีวิต
๖. มีวาจาสัตย์จริงตลอดชีวิต
๗. ไม่โกรธ แม้ว่าถ้าโกรธก็ระงับได้ทันทีตลอดชีวิต

ทรงมีหลายชื่อ

ชื่อที่เรียกพระอินทร์มีหลายชื่อ แต่ละชื่อบอกถึงคุณสมบัติหรือกุศลที่ทรงได้ทำมาในอดีต

ท้าวมฆวาน – เมื่อสมัยเป็นมนุษย์ชื่อว่า มฆะ
ท้าวปุรินททะ- เมื่อสมัยเป็นมนุษย์ได้ให้ทานในเมือง
ท้าวสักกะ- เมื่อสมัยเป็นมนุษย์ได้ให้ทานโดยความเคารพ
ท้าววาสะ หรือวาสพ – เมื่อสมัยเป็นมนุษย์ได้ให้ที่พัก
ท้าวสหัสสักขะ หรือ สหัสสเนตร หรือ ท้าวพันตา – ทรงคิดรู้ความทั้งพันชั่วเวลาครู่เดียว
ท้าวสุชัมบดี – ทรงมีชายาชื่อสุชา
ท้าวเทวานมินทะ หรือพระอินทร์ – ทรงครอบครองราชสมบัติเป็นอิสริยาธิบดีแห่งทวยเทพชั้นดาวดึงส์

ความเพียร

ในคราวที่สุวีวรเทวบุตรขอพรกับพระอินทร์ ว่าขอให้ตนได้เป็น “ผู้ที่เกียจคร้าน ไม่ขยันหมั่นเพียร ไม่ทำกิจที่ควรทำ แต่ก็ได้รับความสำเร็จทุกอย่างตามที่ปรารถนา”
พระอินทร์ทรงตรัสเพื่อให้คิดว่า

“คนเกียจคร้านบรรลุถึงความสุขอย่างยิ่งในที่ใด ก็ให้ท่านจงไปในที่นั้นเอง และช่วยบอกให้ข้าพเจ้าได้ไปในที่นั้นด้วย”

ถึงกระนั้น สุวีรเทวบุตรก็ยังขอพรว่า “ขอพระองค์ได้โปรด ประทานพรความสุขชนิดที่ไม่มีทุกข์โศก โดยไม่ต้องทำอะไรเลย”

พระอินทร์ตรัสว่า “ถ้าจะมีใครดำรงชีวิตอยู่โดยไม่ต้อง ทำอะไรในทิศทางไหน นั่นเป็นทางนิพพานแน่ ให้ท่านจงไปและช่วยบอกข้าพเจ้าให้ไปด้วย”

ขันติธรรม

ในสงครามคราวหนึ่งฝ่ายเทวดาชนะอสูร ท้าวเวปจิตติอสุรินทร์ถูกจับได้และถูกพันธนาการมายังสุธัมมสภา ขณะที่เข้าและออกจากสภา ก็ได้บริภาษด่าพระอินทร์ด้วยถ้อยคำหยาบช้าต่างๆ แต่พระอินทร์ก็ไม่ได้โกรธแม้แต่น้อย

พระมาตลีเทพสารถีจึงทูลถามพระอินทร์ว่า “ทรงอดกลั้น ได้เพราะกลัว หรือว่า เพราะอ่อนแอ”

พระอินทร์ตรัสว่า “เราทนได้ไม่ใช่เพราะกลัว ไม่ใช่เพราะอ่อนแอ แต่วิญญูชนเช่นเราจะตอบโต้กับพาลได้อย่างไร”

พระมาตลีแย้งว่า “พาลจะกำเริบถ้าไม่กำหราบเสีย เพราะฉะนั้นผู้มีปัญญาพึงกำหราบเสียด้วยอาชญาอย่างแรง”

พระอินทร์ “เมื่อรู้ว่าเขาโกรธแล้วมีสติสงบลงได้ นี่แหละ เป็นวิธีกำหราบพาล

พระมาตลีก็ยังแย้งว่า “ความอดกลั้นดังนั้นมีโทษ พาลจะเข้าใจว่าผู้นี้อดกลั้นเพราะกลัว ก็จะยิ่งข่ม เหมือนโคยิ่งหนีก็ยิ่งไล่”

พระอินทร์ “พาลจะคิดอย่างไรก็ตาม ประโยชน์ของตนสำคัญยิ่ง และไม่มีอะไรจะยิ่งไปกว่าขันติ ผู้ที่มีกำลัง อดกลั้นต่อผู้ที่อ่อนแอ เรียกว่าขันติอย่างยิ่ง เพราะผู้ที่อ่อนแอ ต้องอดทนอยู่เองเสมอไป ผู้ที่มีกำลังและใช้กำลังอย่างพาล ไม่เรียกว่า มีกำลัง ส่วนผู้ที่มีกำลังและมีธรรมะคุ้มครอง ย่อมไม่โกรธตอบ

ผู้โกรธตอบผู้โกรธ หยาบมากกว่าผู้โกรธทีแรก ส่วนผู้ที่ไม่โกรธตอบผู้โกรธชื่อว่าชนะสงครามที่ชนะได้ยาก ผู้ที่รู้ว่าเขาโกรธ แต่มีสติสงบได้ ชื่อว่าประพฤติประโยชน์ทั้งแก่ตนและผู้อื่น แต่ผู้ที่ไม่ฉลาดไม่รู้ธรรมก็ย่อมจะเห็นผู้ที่รักษาประโยชน์ตนและผู้อื่น ทั้งสองฝ่ายดังกล่าว ว่าเป็นคนโง่เสีย”
ความไม่โกรธ

ครั้งหนึ่งพระอินทร์เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้วทูลถามว่า “ฆ่าอะไรได้อยู่เป็นสุข ฆ่าอะไรได้ไม่โศก” พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า “ฆ่าความโกรธ”

ในครั้งหนึ่งได้มียักษ์ตนหนึ่งผิวพรรณเศร้าหมอง รูปร่างน่าเกลียด ขึ้นไปนั่งบนอาสนะของพระอินทร์ พวกเทพชั้นดาวดึงส์พากันโพนทนาติเตียน แต่ยิ่งโพนทนาติเตียน ยักษ์นั้นก็ยิ่งงามยิ่งผ่องใส จนพวกเทพพากันประหลาดใจว่า น่าจะเป็นยักษ์กินโกรธ

พระอินทร์ทรงทราบความนั้นแล้วได้เสด็จเข้าไป ทำผ้าเฉวียงพระอังสะข้างซ้าย คุกเข่าขวาลง และประคองอัญชลีเหนือพระเศียร ประกาศพระนามของพระองค์ขึ้น ๓ ครั้งว่า พระองค์คือ ท้าวสักกะจอมเทพ ยักษ์นั้นกลับมีผิวพรรณเศร้าหมอง รูปร่างน่าเกลียดยิ่งขึ้นจนหายไปในที่นั้น พระองค์ขึ้นประทับบนอาสนะของพระองค์แล้วตรัสอบรมพวกเทพ และตรัสว่า พระองค์ไม่ทรงโกรธมาช้านาน ความโกรธไม่ตั้งติดในพระองค์ แม้จะโกรธชั่ววูบเดียวก็ไม่กล่าวผรุสวาจา ทรงข่มตนได้

คราวหนึ่งพระองค์ทรงอบรมเทพทั้งหลายว่า ให้มีอำนาจเหนือความโกรธ อย่าจืดจางในมิตร อย่าตำหนิผู้ไม่ควรตำหนิ อย่ากล่าวส่อเสียด อย่าให้ความโกรธเข้าครอบงำ อย่าโกรธตอบผู้โกรธ ความไม่โกรธและความไม่เบียดเบียนมีอยู่ในพระอริยะทั้งหลายทุกเมื่อ ความโกรธทับบดคนบาปเหมือนภูเขา

จะเห็นได้ว่าคุณธรรมที่พระอินทร์ทรงประพฤติปฏิบัติทั้งขณะที่เป็นมนุษย์และ เทวดา เป็นสิ่งที่เราสามารถกระทำตามได้ เป็นตัวอย่างที่ดีของการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์โดยหวังผลคือ ความสุขของส่วนรวม

แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าคุณธรรมต่างๆ เหล่านี้ นับวันจะเลือนหายไปในสังคมไทยของเรา เพราะคิดแต่จะเจริญรอยตามวัฒนธรรมฝรั่ง โดยหารู้ไม่ว่า ได้เพาะเมล็ดพันธ์แห่งความเห็นแก่ตัว ความไร้คุณธรรม ลงไปในความอยากมีอยากเป็นตามกระแสของสังคมศิวิไลซ์ที่เน้นวัตถุนิยม

ฉะนั้น หากเราช่วยกันนำคุณธรรมที่ดีงามต่างๆ เหล่านี้ ซึ่งบรรพบุรุษของเราเคยทำมาแล้ว ให้กลับคืนมา สังคมอันดีงาม เต็มเปี่ยมไปด้วยธรรม ก็ย่อมเกิดขึ้นแน่นอน

————————-
 
 
อารามโรปา วนโรปา
เย ชนา เสตุการกา
ปปญฺจ อุทปานญฺจ
เย ททนฺติ อุปสฺสยํ
เตสํ ทิวา จ รตฺโต จ
สทา ปุญฺญํ ปวฑฺฒติ.
ชนเหล่าใด สร้างสวน ปลูกป่า ให้โรงประปา บ่อน้ำ และที่พักอาศัย บุญของชนเหล่านั้น ย่อมเพิ่มพูนทุกเมื่อ ทั้งคืนทั้งวัน

บูชาพระอินทร์เพื่อขอให้การงานราบรื่นศัตรูพ่ายแพ้มีโชคมีลาภตลอดปี

พระอินทร์ถือว่ามีอานุภาพสูงที่สุดในบรรดาเทพทั้งปวงสามารถดลบันดาลให้เกิด เหตุการณ์ต่างๆได้เช่นบันดาลให้ฝนตกตามฤดูกาลให้พืชพรรณงอกงามเก็บเกี่ยวผล ผลิตได้ดีและยังเป็นเทพเจ้าที่มีอำนาจสูงสุดในการบันดาลให้เกิดภัยทาง ธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นฝนตกหนักฟ้าร้องฟ้าผ่าน้ำท่วมพายุอันรุนแรงฯลฯ

พระอินทร์เป็นมหาเทพที่ยิ่งใหญ่เหนือชีวิตของมนุษย์และสรรพสัตว์
มีหน้าที่ปกป้องดูแลโลกให้พ้นจากสิ่งเลวร้ายต่างๆเป็นผู้นำเหล่าเทพเจ้าไปกำจัดอสูรร้ายในหลายคราว

นอกจากศาสนาพราหมณ์แล้วในศาสนาพุทธพระอินทร์ยังเป็นเทพผู้รักษาพระพุทธศาสนา ให้อยู่ยืนยงถึง5,000 ปีเนื่องจากพระอินทร์เป็นเทวกษัตริย์อันหมายถึงเป็นราชาแห่งเหล่าทวยเทพจึง มีอำนาจในการสั่งการทำลายผู้ที่จะนำพาพระพุทธศาสนาไปในทิศทางที่ไม่ดี

ท้าวสักกะเทวราชคืออีกพระนามหนึ่งของพระอินทร์ในตำราหนึ่งกล่าวไว้ว่าพระ อินทร์เกิดมาจากผู้ใจบุญจำนวน33 คนได้ร่วมกันสร้างศาลาและร่วมกันทำเส้นทางเพื่อถวายเป็นทานเมื่อตายไปก็ไป เกิดเป็นเทวดาเทวดาเหล่านี้ก็รวมร่างกันกลายเป็นพระอินทร์ช้างทรงของพระ อินทร์จึงมี33 เศียรเพื่อแสดงถึงผู้กระทำคุณงามความดี33 คนนั่นเอง พระอาสน์(ที่นั่ง) ของพระอินทร์มีคุณสมบัติพิเศษคือเมื่อร้อนขึ้นมาคราใดนั่นหมายถึงโลกมนุษย์ ได้เกิดเหตุร้ายอสูรร้ายออกอาระวาดเมื่อนั้นพระอินทร์ก็จะออกจากสวรรค์แปลง กายเป็นสัตว์ที่มีร่างกายกำยำแข็งแกร่งเพื่อลงมาปราบอสูรให้สิ้นไปผู้ที่ได้ ประกอบความดีบนโลกมนุษย์เมื่อสิ้นอายุแล้วจะไปเกิดเป็นเทวดาประทับอยู่บน สรวงสวรรค์อันเป็นวิมานของพระอินทร์ พระอินทร์จึงเป็นเทพที่จิตใจดีงามคอยคุ้มครองผู้ที่กระทำความดีอยู่เสมอ

การสักการะพระอินทร์นั้นสักการะได้ทุกวันยกเว้นวันพระเพราะพระอินทร์พระองค์จะเสด็จไปฟังธรรมที่เทวสภา

การบูชาพระอินทร์ให้เตรียมดังนี้

๑. ดอกไม้สีขาวจะเป็นดอกไม้อะไรก็ได้ห้ามใช้ดอกบัว(ถือว่าสำหรับถวายพระพุทธเจ้า)
๒.พวงมาลัยดาวเรืองขนาดคล้ององค์เทวรูปได้๑พวง
๓.ธูปทองนากเงินรวมกัน๙ดอกเทียนสีผึ้ง๑บาท๑คู่
๕.มะพร้าวน้ำหอม๑ลูก
๖.กล้วยน้ำว้า๑หวีไม่ต้องสุกจัด
๗.นมสด๑กล่องช้างไม้๑คู่

***ห้ามถวายสิ่งดองของมึนเมาและหมากพลูเด็ดขาด เมื่อเตรียมแล้วให้วางถาดของไว้ต่อหน้าเทวรูปพระอินทร์ให้จุดเทียนและธูป แล้วตั้งนโมสามจบกล่าวดังนี้

พุทธบูชามหาเตชะวัณโต
ธัมมบูชา มหาปัญญะวันโต
สังฆะบูชามหาโภคะวะโหติโลกนาถังอภิปูเชมิ
สหัสเนตโตเทวินโททิพจักขุงวิโสธายิอิกะวิติพุทธะสังมิโลกะวิทู๓จบแล้วปักธูป ยกเครื่องบูชาถวายแล้วเอามาลัยดาวเรืองคล้องเทวรูป เสร็จแล้วให้สวดขอพรดังนี้

นโมสามจบ
อธิษฐานขอพร
เอราวะณัสสะนามะเทวะราชะกุญชะรัสสะ
อานุภาเวนะสัพพะสิทธิภะวะตุเมฯ๓จบ
ด้วยอานุภาพของพระอินทราธิราชผู้ประเสริฐผู้ทรงช้างฉัททันต์มงคลเอราวัณณบัด นี้ลูกได้มากราบองค์เทวราชด้วยกายยอกรชุลีกับทั้งเครื่องบวงสรวงเหล่านี้ขอ พระอินทราธิราชได้ทรงโปรดประทานพรแก่ลูกดังนี้……..(ตามแต่เราจะขอพร)……………. ขอความสำเร็จทุกประการจนเป็นไปดั่งพรที่ลูกขอนั้นเทอญ?.

เป็นอันเสร็จพิธีของนั้นให้ลากลับได้หรือจะให้เป็นทานก็เป็นมงคลทั้งผู้ให้ผู้รับ
หมายเหตุในการขอพรพระอินทร์เทวราชนั้นผุ้ที่จะขอสำเร็จมักจะต้องมีกำลังบุญมาก่อนเสมอฉะนั้นจึงควรหมั่นทำบุญเป็นกองทุนส่วนตัวไว้
 

# 16
By หมอยา
On 2016-04-13 07:53:23

ขัอมูลโดย ท่านกฤษณะกรครับ น่าสนใจเลยนำมาลงไว้ครับ

ประวัติพญายมราช
ตำนานท้าวพญายมราช (พระยม)



ท้าว พญายมราช หรือ พระยม ในเทวตำนานยุคต้น ท้าวจตุโลกบาลแห่งทิศทักษิณ กล่าวไว้คือพระยม เป็นองค์เดียวกัน มีลักษณะใบหน้าดุดัน พระวรกายสีแดงทรงเครื่องอย่างกษัตริย์ พระหัตถ์ขวาถือบ่วงยมบาศก์(บ่วงบาศก์ที่ ใช้จับมัดวิญญาณทั้งหลาย) พระหัตถ์ซ้ายทรงไม้ท้าวยมทัณฑ์ ทรงกระบือเป็นพาหนะ มีอิทธิฤิทธิ์มากทำหน้าที่พิพากษาและปกครองดวงวิญญาณทั้งหลายในนรกภูมิ มีบริวารคือ ยมฑูต หรือ นายนิรยบาล มีหน้าที่นำวิญญาณทั้งหลายไปยังสำนักพญายม และลงโทษแก่ดวงวิญญาณในนรก

ซึ่งบริวารท้าวพญายมราชที่คนไทยรู้จักดีมีด้วยกัน ๒ องค์ ได้แก่ พระกาฬไชยศรี และ เจ้าพ่อเจตตคุปต์ ซึ่งมีรูปเคารพอยู่ที่ศาลหลักเมือง ทำหน้าที่จดชื่อและจับวิญญาณชั่วร้ายที่จะมารบกวนบ้านเมือง ท้าว พญายมราช เป็นเทวดาที่มีการกล่าวถึงในตำนานของทุกชาติพันธุ์ภาษา ของทุกวัฒนธรรมทั่วโลก ต่างกันเพียงการเรียกนามที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละภาษาเท่านั้น ส่วนหน้าที่และอำนาจนั้นมีความคล้ายคลึงกัน ตำนานลัทธิข้างจีนฝ่าย มหาญาน กล่าวว่า พญายมเป็นพระโพธิสัตว์พระองค์หนึ่ง

ตำนานท้าวพญายมราช มีการกล่าวถึงกำเนิดไว้หลากหลาย อาจเป็นเพราะพญายมเป็นตำแหน่งเทวราชผู้ปกครองยมโลก มีการหมุนเวียนเปลี่ยนไปตามมติของเทวสภา หรือบารมีที่สั่งสมมาอย่างเหมาะสมทำให้ไปเกิดเป็นท้าวพญายมราช จากเทวตำนานในยุคต้นที่กล่าวว่าท้าวจตุโลกบาลทิศทักษิณ คือ พระยม

ด้วยในยุคต้นที่ยังไม่มีวิญญาณใดที่เหมาะสม ท้าวจตุโลกบาลทิศทักษิณ คือ ท้าววิรุฬหก ทรงเป็นเทวกำเนิดจึงต้องรับภาระในตำแหน่งพญายม หรือ พระยม ซึ่งก็มีตำนานได้กล่าวไว้ว่า บริวารของพญายมคือ ยมฑูต ก็ คือกุมภัณฑ์ พวกหนึ่งนั่นเอง แต่เมื่อมีมนุษย์มากขึ้นสั่งสมบารมีหรือมีความเหมาะสมย่อมได้รับการสถาปนา ให้ดำรงตำแหน่ง

ท้าวพญายมราช องค์ปัจจุบันในอดีตชาติก่อนที่ท่านจะได้รับสถาปนาเป็นท้าวพญายมราชนั้น ท่านเป็นมนุษย์ในครั้งก่อนพุทธกาล ในยุคที่ยังมนุษย์อยู่กันเป็นชุมชนยังไม่ใหญ่นัก ซึ่งท่านเป็นหัวหน้าชุมชนในหมู่บ้านเป็นผู้มีวิชาความรู้ เมื่อเกิดเหตุความไม่สงบขึ้นในชุมชนหมู่บ้านท่านเป็นผู้นำปราบปรามแก้ไข และต้องตัดสินพิพากษา

ครั้งหนึ่งเกิดเหตุการณ์ฆ่ากันตายในหมู่บ้านที่ท่านดูแลอยู่ แต่ไม่มีผู้ใดยอมรับว่าเป็นผู้กระทำด้วยเกรงกลัวความผิด เพราะโทษนั้นหนักถึงกับต้องประหารให้ตายตกตามกันคือชีวิตต้องชดใช้ด้วยชีวิต ท่านในฐานะผู้ปกครองดูแลเมื่อสอบสวนแล้วไม่มีผู้ยอมรับผิด จึงได้ใช้วิชาความรู้ที่ร่ำเรียนมาเสกแป้งฝุ่นแล้วซัดออกไปก็จะปรากฎรอยเท้า ผู้กระทำผิด

เมื่อตามรอยเท้านั้นไปปรากฎว่าผู้เป็นเจ้าของรอยเท้านั้นคือพ่อบังเกิดเกล้า ของท่านเอง ท่านมีความเสียใจเป็นอย่างมากไม่รู้จะทำอย่างไร ท่านพิจารณาด้วยใจอันเป็นธรรมอย่างที่สุดจึงได้ตัดสินให้ประหารพ่อ ของท่านเอง แล้วก็ออกจากหมู่บ้านเร่ร่อนไปจนท่านเสียชีวิตเพียงลำพัง เป็นการแสดงให้เห็นว่าท่านมีความเที่ยงธรรมอย่างหาที่เปรียบมิได้

เพราะหากท่านไม่บอกแก่ใครย่อมไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้ อีกทั้งท่านก็ยังได้ดำรงอยู่ในตำแหน่งหัวหน้าหมู่บ้านมีความสุขสบายไม่ต้อง ลำบากเร่ร่อนไปอย่างเดียวดาย เมื่อท่านได้เสียชีวิตดวงวิญญาณของท่านเป็นยกย่องในความเที่ยงธรรม เทวดาทั้งหลายจึงแสดงฉันทามติสถาปนาท่านให้ดำรงตำแหน่งท้าวพญายมราช

องค์พญายมราชจะมีผู้ช่วยสำคัญในการไปนำดวงวิญญาณ ของสัตว์โลกมาสู่แดนปรโลก หรือแดนยมโลกคือ องค์เจ้าพ่อพระกาฬชัยศรี เจ้าพ่อพระกาฬชัยศรีนี้มีรูปปั้นอยู่ที่ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง กรุงเทพมหานคร มีเทวะลักษณะเป็นเทพยดาที่สี่กร กรหนึ่งถือดวงไฟหมายถึงดวงวิญญาณ กรหนึ่งถือบ่วงบาศเป็นสัญลักษณ์สำคัญในการใช้จับดวงวิญญาณทั้งปวง ขี่นกเค้าแมวเป็นพาหนะ

พระองค์เป็นบริวารของพญายมราชทำหน้าที่เก็บดวงวิญญาณต่างๆ บ้านไหนที่จะมีคนตาย พระองค์จะทรงใช้นกแสกบ้าง นกเค้าแมวบ้าง ไปเกาะลังคาบ้านร้องเตือนให้ทราบล่วงหน้า หรือบันดาลนิมิตดีร้ายให้ทราบ หากผู้นั้นมีปัญญาจะได้รีบขวนขวายทำบุญก่อนจะหมด โอกาสในโลก

นอกจากนี้พระองค์ยังมีบริวารเรียกว่าเหล่ายมฑูต ทำหน้าที่ไปเก็บดวงวิญญาณต่างๆให้พระองค์อีกทีหนึ่งด้วย ซึ่งเราชาวโลกจะเรียกท่านว่า พญามัจจุราชนั่นเองนอกจากนี้องค์พญายมราชยังมีบริวารที่ทำหน้าที่บันทึกการ กระทำความดีความชั่ว เรียกว่าสุวัณ และสุวาณ

สุวัณนั้นทำหน้าที่จดการกระทำความดีของผู้ที่กระทำความดีตั้งอยู่ในศีลใน ธรรม การจดนั้นท่านใส่สมุดทองคำ ยามรายงานองค์พญายมราชเสร็จเรียบร้อยจะทำการยกขึ้นจบเหนือหัวเป็นการ อนุโมทนา ส่วนสุวาณทำหน้าที่จดการกระทำของคนชั่วประพฤติบาป ไม่ตั้งอยู่ในศีลในธรรม การจดก็จดใส่สมุดหนังหมา เป็นการ คาดโทษเอาไว้

ใน พระไตรปิฏกกล่าวว่าองค์พญายมราชนั้นเมื่อได้ฟังเทศน์จากองค์สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้ามีดวงตาเห็นธรรมบรรลุเป็นพระโสดาบันนั่นเป็นเบื้องต้น ครูบาอาจารย์ที่ถอดจิตได้อย่างหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านกล่าวว่าองค์พญายมราชนั้นปัจจุบันท่านมีภูมิธรรมชั้นพระอนาคามี เป็นภูมิพรหม ดำรงตำแหน่งการพิพากษาตัดสินดวงวิญญาณในแดนยมโลกอย่างยุติธรรม ประกอบด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา คือดวงวิญญาณแต่ละดวงที่ตกมายังยมโลกนั้น

พระองค์จะไต่ถามด้วยความเมตตาว่าระลึกถึงบุญอันใดได้บ้าง หากดวงวิญญาณนั้นๆระลึกได้แม้สักอย่างท่านจะอนุโมทนาและให้ไปรับส่วนบุญ นั้นๆ หากดวงวิญญาณไม่อาจระลึกถึงคุณงามความดีใดๆได้เลยท่านก็ทรงจิตไว้เป็น อุเบกขา ว่าเป็นกรรมของสัตว์โลก ท่านก็จัดส่งไปลงโทษตามควรแก่ฐานานุโทษของสัตว์นั้นๆ

ในด้านของไสยศาสตร์นั้น พระยายมราช นับเป็นเทวะราชาพระองค์หนึ่งที่มีเทพอาวุธอันทรงอานุภาพเปรียบได้กับอาวุธ ปรมาณู ซึ่งมีอานุภาพทำลายล้างสูงสุดเป็นที่เกรงกลัวของทั้งสามภพ ในตำราทางไสยศาสตร์นั้นเทพอาวุธอันทรงอานุภาพมีด้วยกัน ๕ อย่าง เป็นของเทพ ๕ พระองค์ มีดังนี้ครับ

วัชระ ของพระอินทร์ ๒ ผ้าโพกหัวของอาฬาวะกะยักษ์ ๓ นัยตาของพญาอาวุธทั้ง ๕ นี้ถือเป็นของที่มีอานุภาพสามารถทำลายล้างสารพัดสรรพสิ่งได้เป็นจุณมหาจุณ เป็นที่เกรงกลัวของภูติผีปีศาจอย่างยิ่ง ครูบาอาจารย์ได้นำเอาเรื่องราวของอาวุธทั้ง ๕ มาประพันธ์เป็นพระคาถาในการป้องกันและปราบปรามภูติผีปีศาจได้อย่างชะงัด

ด้านการอานิสงค์ของการบูชานับถือพญายมราชนั้น เชื่อกันว่าภูติผีปีศาจไม่กล้าระราน ผู้นั้นจะมีตบะบารมีที่น่าเกรงขาม ใครคิดร้ายด้วยทุจริตมิชอบอิจฉาตาร้อน จะแพ้ภัยด้วยตัวเขาเอง นอกจากนี้หากหมั่นบูชาพระองค์ท่านเสมอๆท่านว่าจะห่างไกลจากความป่วยไข้มี อายุยืนนาน หากรับราชการหรือทำมาค้าขายด้วยความซื่อตรงก็จะบังเกิดความเจริญมีความสุขใน ชีวิตยิ่งๆขึ้นไป
 

# 15
By หมอยา
On 2013-05-31 07:56:28

       การกำเนิดของทวยเทพและวิญญาณ(the story of god and satellites) ในคัมภีม์มหาสีหนาทสูตรได้กล่าวไว้ว่า การกำเนิดของทวยเทพและพรหมล้วนอาศัยอำนาจแห่งกรรม เป็นการเกิดในภพแบบ โอปปาติกะ
       ความเป็นอยู่ของเทพไม่รับอาหารทางกายหยาบ ทุกสิ่งล้วนเป็นทิพย์ เนื่องด้วยเทพท่านเป็นการดำรงอยู่ด้วยกายทิพย์นั้นเอง
       ลักษณะทางสังคมของเทพ จะพบว่ายังมีเรื่องของโลกีย์ ในชั้น
จตุมหาราชิกา มีการเสพเมถุนแต่ไม่มีน้ำอสุจิ
มายา           ไม่มีการเสพเมถุน เป็นไปในลักษณะเคล้าคลอ กอดรัด
ดีสิตา           ไม่มีการเสพเมถุน เพียงแค่สบตา
ปริมิตสวัสดี     ไม่มีการเสพเมถุนเลย


# 14
By หมอยา
On 2013-05-29 13:35:37

 

การรักษาโรคด้วยอำนาจจิต (psycho-therapy)แบ่งวิธีรักษาออกเป็น 2 ประเภท
๑. ตามหลักวิทยาศาสตร์ ทางจิตแผนใหม่ (modern psychology)
    ก. โดยการสะกดจิต( hypnosis) การเข้าไปในภวังค์จิต สั่งการให้เป็นไปตามต้องการ
    ข. ทางจิตบำบัด (psychotherapy) การบูชา ยึดมั่นจนเกิดศรัทธา เชื่อมั่น ไม่สงสัย

๒. การรักษาโรคด้วยจิตตามหลักโยคศาสตร์
    ก. รักษาด้วยพลังฝ่ามือ ของผู้ให้การรักษาไปยังผู้รับการรักษา
    ข. โดยการถ่ายทอดพลังลมปราณแก่คนไข้ เช่น
         ข.๑ เพ่งพลังจิตไปยังจุดที่ต้องการการบำบัดบนร่างกายของผู้รับการรักษา
         ข.๒ โดยพลังลมปราณผ่านไปยังน้ำเรียกว่าการอาบน้ำมนต์
หมายเหตุ ในข้อ ข.๑ และ ข.๒ ผู้ที่จะปฏิบัติดังที่กล่าวในข้อนี้ ควรเป็นผู้ที่กำเนิดในฤกษ์เฉพาะ มีชีวิตหลังความตาย และมุ่งปฏิบัติในแนวทางนี้ชัดเจน เพราะผลกระทบ อุบาทว์ ธรณีสารอาเภทต่างๆจะย้อยกลับไปที่ตัวเจ้าพิธี หากเจ้าพิธีเรียนผูกมิได้เรียนแก้ จะพบว่า เริ่มมีปัญหาครอบครัว หนี้สิน คดีความ แท้ง และอื่นๆตามมาครับ
    หากเป็นพระ ผู้ทรงศีลหรือฤาษี ไม่นานจะต้องอาบัติ อาบัติมี ๗ อย่าง คือ
๑ ปาราชิก ๒ สังฆาทิเสส   ๓ ถุลลัจจัย  ๔ ปาจิตตีย์  ๕ ปาฏิเทสนียะ   ๖ ทุกกฏ    ๗ ทุพภาสิต

 


# 13
By หมอยา
On 2013-05-28 09:34:09

อาจารย์หมอยาจะกล่าวถึง การปฏิบัติตนสำหรับการศึกษาข้อธรรมต่างๆ วิชาต่างๆ มีข้อหน้าสนใจหลักๆดังนี้
    การปฏิบัติจิตเข้าสู่ประตูพระนิพพาน ตามหลักวิปัสนากรรมฐาน the process of mind purification in buddhis meditation ผู้ที่มุ่งหวังปฏิบัติตามรอยพระพุทธองค์ สามารถยึดเอาเป็นแนวทาง ธรรมของพระพุทธองค์เป็นกลาง มิใช่ของผู้หนึ่งผู้ใดครับตามขั้นตอนต่างๆดังนี้
๑. ผู้ฝึกหรือผู้ปฏิบัติเป็นนักบวช คงต้องหาวัดที่มีเจ้าอาวาสที่เปี่ยมบารมีเป็นสถานที่ฝึกปฏิบัติ
๒. ผู้ฝึกเป็นฆราวาส สถานที่ปฏิบัติควรเป็นที่อยู่อาศัยของท่าน ในหนึ่งวันควรใช้เวลา 3-5-10-30-60 นาทีในการปฏิบัติระยะเวลาที่ใช้ ขึ้นกับผู้ปฏิบัติแล้วแต่ความเหมาะสม และเมื่อเสร็จกิจดังกล่าวควรเป็นเวลาที่ท่านเข้านอนครับ ปฏิบัติดังนี้เป็นวิธีการทางจิตบำบัดที่ดี(psychotherapy)
๓. สำหรับผู้มีจิตว่าจะสละทางโลกอย่างสมบูรณ์ ควรแยกตัวไปอยู่ไกลๆเช่นตามป่าหรือสถานที่สงบ ดังนั้นท่านสามารถเลือกแนวทางของท่านได้สามทางที่กล่าวมาครับ
๔. ควรอาบน้ำชำระกายให้สะอาดสดชื่น สามารถใช้หิ้ง ที่นอนเป็นที่ฝึกสมาธิได้ครับ การนั่งสมาธิที่แนะนำกันเป็นแบบขัดสมาสเท้าขวาทับเท้าซ้ายหัวแม้มือขวาจรดหัวแม่มือซ้าย หลังเหยียดตรงตามองตรง (buddha posture) บางท่านไม่สามารถนั่งได้ ด้วยข้อเข่าไม่สมบูรณ์ก็ให้นั่งในท่าที่สบาย หากนั่งแล้วรู้สึกเมื่อยขบก็ถือว่าเพียงพอแล้วไม่ควรฝืน หากฝืนไปอาจก่อให้เกิดอันตรายเช่น ตาตุ่มเท้าที่วางทับกัน อาจทับหรือกดเส้นเลือดเส้นประสาท ทำให้มีผลข้างเคียง อาจารย์หมอยาเคยไปบางวัดเจ้าอาวาสชอบนั่งสมาธิ นั่งๆไปนั่งมาเป็นง่อยครับเวลามานั่งในโบสถ์หรือทำพิธีต้องอุ้มมาครับ  ใหม่ๆงงครับว่าทำไมนั่งได้นานไม่ขยับไปไหน  หลังนั่งสมาธิแล้วควรนอนเหยียดตรง เพื่อผ่อนคลายร่างกาย การกำหนดลมหายใจเข้า-ออกเป็นที่ตั้ง
      ที่อาจารย์นำมากล่าวเป็นเพียงหลักเบื้องต้น สำหรับผู้นำไปปฏิบัติ มีประสงค์ให้ท่านทั้งหลายนำไปใช้ แต่ไม่ควรมุ่งมั่นจนมากเกินไปจนลืมว่าท่านยังไม่ได้ ทำกิจอื่นที่ค้างอยู่ เพราะในโลกของความเป็นจริงชีวิตต้องดำเนินต่อไปครับ

 


# 12
By หมอยา
On 2013-05-28 09:38:34

วันเสาร์ที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๒ ขึ้น ๓ ค่ำเดือน ๒ ปีฉลู

อนุโมทนา ครับ ท่านสมาชิก เนื่องจากทางอาจารย์หมอยาและเวบองค์เทพดอทคอม ได้ให้บริการตรวจองค์เทพแลมีคำตอบให้ ในคำตอบนั้นบางท่านอาจเกิดความสงสัยจึงขอเรียนชี้แจงว่า  เจตนารมณ์ของเวบ
๑.ทำเพื่อบูชาครูเทพเทวาครูโหราศาสตร์
๒.อุทิศกรรมดีให้แก่..........
คุณพ่อเชืองเซ็ง แซ่หว่อง
คุณแม่เง็กลั้ง แซ่ก๊วย
ผู้ล่วงลับ ด้วยความอาลัยอาจารย์หมอยา เป็นแค่หมอดูจนๆท่านหนึ่งเท่านั้น บุญกุศลที่สามารถทำได้ก็คงเป็นเพียงวิธีนี้เท่านั้น ที่สามารถทำได้ตลอดเวลาไม่ว่าเวลาไหน
๓.เพื่อบันทึกแลศึกษาวิชาโหราศาสตร์ไทย ซึ่งลึกซึ้งแลสูงล้ำค่ายิ่ง ตามคำสอนของบรมครูว่า เรียนโหราศาสตร์นี่ต้องบันทึก แลศึกษาเพิ่มเติมเสมอไปครับ

คำตอบในการตรวจองค์เทพจะมีดังต่อไปนี้ตามผลงานวิจัยเบื้องต้น ซึ่งนับว่าเป็นงานต้นแบบเรียกว่า demo ซึ่งจะพยายามปรับปรุงให้สมบูรณ์ เท่าที่จะสามารถเป็นไปได้ครับ ตามกำลังเฒ่าชราผู้หนึ่งจะสามารถทำครับ ถูกใจท่านหรือขัดหูขัดตาท่านหนึ่งท่านใดก็ขอ ขมาต่อท่านนั้นๆ
๑.ท่านมีองค์เทพ แสดงว่า เป็นการมีองค์เทพที่เวลาท่านไปดูหมอที่ไหนหรือตำหนักเขาจะทักท่านว่า มีองค์เทพแต่ไม่ต้องรับขันธ์บางตำหนักก็จะให้ขึ้นขันธ์ครู ในกรณีนี้บางท่านจะมี วิญญาณบรรพบุรุษคอยคุ้มครอง หรือมีเทวดารักษาอยู่ครับ ขึ้นอยู่กับบุญเก่าที่ท่านสะสมมาในอดีตชาติด้วยครับ ต้องพิจารณาจุดนี้ด้วยครับ.... วิเคราะห์ได้ดังนี้ครับ
ก. ท่านยังไม่สมควรรับขันธ์ ให้ศึกษาบทความในเวบนี้ จะเข้าใจอะไรได้พอสมควรครับ อย่าด่วนรับขันธ์ทั้งๆที่ท่านยังขาดความรู้ความเข้าใจในการปฏิบัติ
ข. ผู้ที่จะรับขันธ์ครู ควรเป็นผู้ที่ได้ปฏิบัติและมีนิมิตกับองค์เทพ มาบ้างพอสมควร
ค. ผู้ที่จะรับขันธ์ครู ควรเป็นผู้ที่มีศรัทธา เชื่อมั่น ไม่สงสัย
ง. ผู้ที่จะรับขันธ์ครู ควรเป็นผู้ที่มีอาการรับรู้ สัมผัสหรือเห็น นิมิตต่างๆชัดเจน ไม่สบายวันพระวันโกนเป็นต้นครับ
จ. ผู้ที่จะรับขันธ์ครู ควรตรวจกรรมลิขิต หากท่านไม่ติดค้างการทำแท้ง เนรคุณ จึงสมควรรับขันธ์ครูได้ครับ
ฉ. ผู้ที่จะรับขันธ์ครู ควรมั่นใจว่าสามารถดูแลขันธ์ของตนเองได้

**************************************************

 

๒.ท่านมีองค์เทพชัดเจน แสดงว่า เป็นการมีองค์เทพ ที่เวลาท่านไปดูหมอหรือตำหนักทรง เขาจะทักว่ามีแลให้ท่านรับขันธ์ โดยระดับความมั่นใจในการทำนาย ของเจ้าตำหนักหรือหมอดูมีน้ำหนักมากกว่าลำดับที่๑ เป็นเครื่องช่วยในการตัดสินใจบางท่านอาจมีอาการขนลุก หรืออาการแปลกๆเหมือนจะอาเจียนและ อาการประหลาดอื่นๆ จนตัวเจ้าของเองก็แปลกใจ.....ในกรณีนี้ อาจมีวิญญาณบรรพบุรุษหรือเทวดามารักษา ก็ขึ้นอยู่กับกรรมดีในอดีตชาติส่งผลมาครับ ข้อควระวัง หากเป็นการมีวิญญาณติดตาม แลเป็นสัมภเวสี อาจมีการตัดสินใจเรื่องมีองค์เทพแลให้ท่านรับขันธ์ กรณีนี้ผู้รับคำทำนายจึงควรไตร่ตรองเพราะทางเวบได้เตือนไว้แล้วว่า ให้การรับขันธ์เป็นทางเลือกสุดท้าย โดยที่แยกแยะจนชัดเจนก่อนจึงจะไม่เกิดปัญหาภายหน้า   วิเคราะห์ได้ดังนี้ครับ
ก. ท่านยังไม่สมควรรับขันธ์ ให้ศึกษาบทความในเวบนี้ จะเข้าใจอะไรได้พอสมควรครับ อย่าด่วนรับขันธ์ทั้งๆที่ท่านยังขาดความรู้ความเข้าใจในการปฏิบัติ

ข. ผู้ที่จะรับขันธ์ครู ควรเป็นผู้ที่ได้ปฏิบัติและมีนิมิตกับองค์เทพ มาบ้างพอสมควร
ค. ผู้ที่จะรับขันธ์ครู ควรตรวจกรรมลิขิต หากท่านไม่ติดค้างการทำแท้ง เนรคุณ จึงสมควรรับขันธ์ครูได้ครับ
ง. มีโอกาสควรอาบน้ำมนต์ให้ครบสามครั้งในเวลาสามเดือนครับ
จ. ผู้ที่จะรับขันธ์ครู ควรมั่นใจว่าสามารถดูแลขันธ์ของตนเองได้
ฉ. ท่านควรมีศรัทธา เชื่อมั่น ไม่สงสัยครับ

***********************************

  ๓.ท่านมีองค์เทพแบบปฏิบัติ แสดงว่า เป็นการมีองค์เทพในแบบที่เจ้า ตัวเอง บางครั้งไม่ทราบมาก่อนว่าตัวเองมีองค์เทพ ในกาลต่อมาเมื่อตัวเอง ได้เข้าไปสัมผัสหรือเข้าพิธีกรรมบวงสรวง หรือเกี่ยวข้องกับร่างทรงตำหนัก ต่างๆ การได้ไปงานไหว้ครูครอบครูต่างๆ ก็จะเกิดอาการขนลุกหรืออาการแปลกๆเหมือนจะอาเจียนและ อาการประหลาดอื่นๆ จนตัวเจ้าของเองก็แปลกใจ..... ท่านเหล่านี้เมื่อได้ทำพิธีกรรมตามคำแนะนำ ก็สามารถทำการเดินสายเทพในรูปแบบที่ถูกที่ควรก่อน โดยยังไม่ควรด่วนรับขันธ์โดยพละการ ในกรณีนี้ อาจมีวิญญาณบรรพบุรุษหรือเทวดามารักษา ก็ขึ้นอยู่กับกรรมดีในอดีตชาติส่งผลมาครับ ข้อควระวัง หากเป็นการมีวิญญาณติดตาม แลเป็นสัมภเวสี อาจมีการตัดสินใจเรื่องมีองค์เทพแลให้ท่านรับขันธ์ กรณีนี้ผู้รับคำทำนายจึงควรไตร่ตรองเพราะทางเวบได้เตือนไว้แล้วว่า ให้การรับขันธ์เป็นทางเลือกสุดท้าย โดยที่แยกแยะจนชัดเจนก่อนจึงจะไม่เกิดปัญหาภายหน้า   วิเคราะห์ได้ดังนี้ครับ
ก. ท่านยังไม่สมควรรับขันธ์ ให้ศึกษาบทความในเวบนี้ จะเข้าใจอะไรได้พอสมควรครับ อย่าด่วนรับขันธ์ทั้งๆที่ท่านยังขาดความรู้ความเข้าใจในการปฏิบัติ

ข. ผู้ที่จะรับขันธ์ครู ควรเป็นผู้ที่ได้ปฏิบัติและมีนิมิตกับองค์เทพ มาบ้างพอสมควร
ค. ผู้ที่จะรับขันธ์ครู ควรตรวจกรรมลิขิต หากท่านไม่ติดค้างการทำแท้ง เนรคุณ จึงสมควรรับขันธ์ครูได้ครับ
ง. มีโอกาสควรอาบน้ำมนต์ให้ครบสามครั้งในเวลาสามเดือนครับ
จ. ผู้ที่จะรับขันธ์ครู ควรมั่นใจว่าสามารถดูแลขันธ์ของตนเองได้
ฉ. ท่านควรมีศรัทธา เชื่อมั่น ไม่สงสัยครับ

****************************************************

๔.ท่านมีองค์เทพชัดเจนแลแบบปฏิบัติ แสดงว่า เป็นการมีองค์เทพในแบบที่เจ้าตัวจะมีอาการต่างๆเช่น จะเกิดอาการขนลุกหรืออาการแปลกๆเหมือนจะอาเจียน และอาการประหลาดอื่นๆ จนตัวเจ้าของเองก็แปลกใจ... อาจมีมาแต่ตอนเด็กหรือมาเป็น ตอนมีอายุมากขึ้นและจะเป็นมากขึ้นเรื่อยๆจนบางท่านหนักบ่า หนักต้นคอมีอาการครั่นเนื้อตัว ยามได้อาบน้ำมนต์ บางท่านจะมีอาการเหมือนองค์ลงหรืออื่นๆ บางชะตาฟ้าลิขิตให้ต้องรับขันธ์หรืออาจมีอานิสงน์ สามารถเปิดเป็นตำหนักช่วยคนในเวลาต่อมา.....ในกรณีนี้ อาจมีวิญญาณบรรพบุรุษหรือเทวดามารักษา ก็ขึ้นอยู่กับกรรมดีในอดีตชาติส่งผลมาครับ ข้อควระวัง หากเป็นการมีวิญญาณติดตาม แลเป็นสัมภเวสี อาจมีการตัดสินใจเรื่องมีองค์เทพแลให้ท่านรับขันธ์ กรณีนี้ผู้รับคำทำนายจึงควรไตร่ตรองเพราะทางเวบได้เตือนไว้แล้วว่า ให้การรับขันธ์เป็นทางเลือกสุดท้าย โดยที่แยกแยะจนชัดเจนก่อนจึงจะไม่เกิดปัญหาภายหน้า วิเคราะห์ได้ดังนี้ครับ
ก. ท่านยังไม่สมควรรับขันธ์ ให้ศึกษาบทความในเวบนี้ จะเข้าใจอะไรได้พอสมควรครับ
ข. ผู้ที่จะรับขันธ์ครู ควรเป็นผู้ที่ได้ปฏิบัติและมีนิมิตกับองค์เทพ มาบ้างพอสมควร
ค. ผู้ที่จะรับขันธ์ครู ควรตรวจกรรมลิขิต หากท่านไม่ติดค้างการทำแท้ง เนรคุณ จึงสมควรรับขันธ์ครูได้ครับ
ง. มีโอกาสควรอาบน้ำมนต์ให้ครบสามครั้งในเวลาสามเดือนครับ
จ. ผู้ที่จะรับขันธ์ครู ควรมั่นใจว่าสามารถดูแลขันธ์ของตนเองได้
ฉ. ท่านควรมีศรัทธา เชื่อมั่น ไม่สงสัยครับ

๕.การมีองค์เทพแบบกึ่งอวตาร(ลักษณะพิเศษ)สำหรับท่านที่มีลักษณะเช่นนี้ จะพบเห็นได้จากการผูกดวงชะตาในระดับลึกมีการทำมุมกันในชะตาขั้นอุกฤต บางท่านจะชอบเจริญกรรมฐาน บางท่านจะไม่ชอบเลยลักษณะการดำเนินไปจะแยกเป็น ๒ทาง

๕.๑มีคุณสมบัติของคนมีองค์เทพแบบปฏิบัติรวมอยู่ด้วย  มี พลังบารมีที่ หากผู้มีองค์เทพและปฏิบัติมาดียามเมื่อเข้าใกล้พลังแห่งบารมีจะสามารถสัมผัส ได้ แลท่านนั้นยามปกติ จะดูเหมือนเม่อลอยหรือไม่เป็นตัวของตัวเองเต็มที่นัก...ลักษณะเช่นนี้ หมอยาพบเห็นได้จากเจ้าตำหนักหรือพระบางท่านจะมีลูกศิษย์ลูกหาเลื่อมใส ถวายตัวเป็นศิษย์รับขันธ์ บางตำหนักบางแห่งมีลูกศิษย์นับพันครับ ไหว้ครูได้ยิ่งใหญ่อลังการครับ

๕.๒มีคุณสมบัติของคนมีองค์เทพชัดเจน นับ ว่า เป็นผู้ที่มีคุณสมบัติแบบผู้มีองค์เทพอยู่แล้ว บางท่านสับสนหาจุดยืนมิได้ ด้วยอิทธิพลของดวงดาวบังคับ เป็นผู้ที่หาอาจารย์ของตนเองได้ยากครับ เป็นผู้คงแก่เรียนหรือชอบศึกษาหรือเสาะแสวงหาหรือชอบลองของ เพื่อหวังว่าวันหนึ่งจะพบผู้ที่สมควรแก่การมอบตัวเป็นศิษย์ หากพบเมื่อใดทางสายเทพของเขาผู้นั้นจึงสมบูรณ์  สำหรับท่านที่เข้าข่ายกฏข้อนี้ ส่วนมากเป็นชะตาสวรรค์กำหนดมักเป็นมากกว่าร่างทรงทั่วๆไปครับ

****************************

๖.การมีองค์เทพแบบอวตาร(ลักษณะพิเศษ) เป็น ผู้ที่มีองค์เทพสถิตย์อยู่เหนือเกล้า (องค์เทพท่านจะคงอยู่ในใจของเขาผู้นั้นเพราะเขาผู้นั้นเต็มเปี่ยมไปด้วย ศรัทธาอยู่แล้ว) เป็นผู้มีบุญเก่าหรือสั่งสมอภิญญามา มักไม่เข้ามาเกี่ยวกับการเปิดตำหนักแต่กลับไปเจริญสายกรรมฐาน วิปัสสนา บางท่านก็บวชเป็นพระเดินทางสายพุทธตามรอยพระพุทธองค์ จึงเห็นได้ว่าทางสายเทพมิได้แยกออกจากทางสายพุทธเลยสามารถปฏิบัติไปได้พร้อมๆกันครับสรุปในรูปแบบการตอบทั้ง๖ข้อ คงทำความเข้าใจให้ท่านได้ในระดับหนึ่ง สำหรับข้อ๒-๕ ทุกท่านสามารถ เปิดเป็นเจ้าตำหนักได้ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับรายละเอียดปลีกย่อยในเนื้อดวงประการสำคัญประการหนึ่ง เท่าที่พบมามีครับบางตำหนักที่หมอยา เองก็ยังยอมรับในองค์เทพเทวาของเจ้าตำหนักผู้นั้นครับว่าเปี่ยมด้วยเมตา หรือมีบารมีสูง หรือมีทั้งเมตตาบารมีครับแผ่นดินนี้กว้างใหญ่ เรื่องร่างทรงที่มีบารมีย่อมมีแน่นอนครับสุดท้ายนี้ แม้ท่านทั้งหลายที่มีร่างทรงองค์เทพ อย่างไรเสียเราก็เป็นพุทศาสนิกชน การทำบุญไหว้พระ การทำนุบำรุงศาสนาสวด มนต์ และถือศีลห้า ให้บกพร่องน้อยที่สุด จึงนับว่าประเสริฐแล ทุกอย่างที่ทำเพื่อความสบายใจแลเป็นสิริมงคล อย่าได้หลงในอิทธิฤทธิ์ จงกระทำโดยใจศรัทธาเป็นหลัก.....เรื่องที่นำเสนอในบทความนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โบราณว่าไว้ ฟังหูไว้หู ไม่เชื่อก็ขออย่าถือโทษโกรธเคืองตำหนิติเตียน..ให้เป็นที่เสียน้ำใจกันครับ.......

บุญรักษาครับ หมอยา

********************************************


sent: friday, january 15, 2010 7:15 pm
to:
subject: เรียนอาจารย์ยา
ผมขอความกรุณาจากอาจารย์ครับ
กราบเรียนท่าน อาจารย์ยาครับ  ผมเป็นคนนึงครับที่เชื่อในเรื่ององค์เทพ และ เทพเจ้าต่างๆครับ
ผม ชื่อ เรวัติ  ทองหล่อ    ครับ เป็นผู้หนึ่งครับที่ได้
ผ่านการรับขันธ์ มาโดยตลอดและเสริมบารมีมาทุกๆๆปี
ตั้งแต่ ขันธ์ 5 จนถึง ขันธ์ 9 แล้ว
แต่พอมาระยะหลังปี 2550 เป็นต้นมาครับ
อาจารย์ได้สิ้นลงหมายถึงร่างทรงของ พระปิยะมหาราช
ได้ดับสิ้นลง ก็ไม่ได้เสริมบารมีต่อมาอีกเลยครับ
ผมถึงอยากเรียน ถามอาจารย์ว่า จะมีปัญหาอะไรกับตัวผมบ้างหรือเปล่าครับหมายถึงในตัวผมและอาจารย์ท่านเก่า
ท่านเคยได้ดูไว้ว่าอีกหน่อยผมจะได้เป็นร่างทรง
จริงหรือเปล่าครับอาจารย์ยา
ช่วยตรวจให้ผมหน่อยนะครับ แล้วอาจารย์ว่าผมควรจะไปเสริมบารมีอีกหรือเปล่าครับอาจารย์

ตอบ อนุโมทนาครับ ...การเสริมบารมีควรมีครับ แต่ท่านจะ
       พิจารณาอาจารย์ท่านใดต่อ...คงต้องแล้วแต่ศรัทธา 
       ของ
ท่านเป็นหลักครับ.....
       บางท่านเมื่อมาถึงขั้น ขันธ์เก้า ย่อมมีบารมีพอสมควร
       อาจจัดพานเสริมบารมีหรือแต่งขันธ์ของตนเองใหม่..
       ตามนิมิตโดยจุดธูปบอกกล่าว ขออนุญาติต่อครูอาจารย์
       ที่ล่วงลับ หรือขอต่อองค์เทพเทวา ไปพร้อมกันทั้งสอง
       กรณี...ถ้าไม่อยากหาอาจารย์ใหม่นะครับ................

       เรียนทุกท่านที่มีองค์เทพทราบว่า การไหว้ครูที่หิ้งบูชา
       เป็นประจำทุกปีก็เป็นสิ่งที่ทุกท่านควรยึดถือปฏิบัติ....
       การไปงานไหว้ครูประจำปีของ อาจารย์ท่านก็ควรหา
       โอกาสไปครับ....

       ท่านมีองค์เทพชัดเจนแลแบบปฏิบัติครับ (๔,)
       ท่านรับขันธ์มานานจนถึงขันธ์เก้า คงเข้าใจเรื่อง
       การเป็นร่างทรงพอสมควร.......ว่าแล้วแต่วาสนา
       บารมีของแต่ละท่านครับ....
       ในส่วนของการบูชาองค์เทพ.. อาจารย์หมอยา....
       อยากให้ทุกท่านที่บูชาได้มีสิริมงคล..หน้าที่การงานดี
       ในชีวิตพบแต่สิ่งที่ดีงามครับ... หากมีทุกข์อันใดก็ขอ
       ให้มลายหายสิ้นครับ.. หมดเคราะห์หมดโศก........
       ปราศจากโรคภัย อันตรายทั้งปวง...

 

***************************************************

ศิษย์ไร้ครูเหมือนงูไร้พิษ.....
ศิษย์กตัญญูย่อมเจริญวัฒนาสืบไป
บุญรักษาครับ....ให้ท่านมีความสุข


sent: friday, january 22, 2010 10:17 am
to:
subject: รบกวนตรวงองค์เทพให้ด้วยค่ะ
สวัสดีค่ะหมอยาที่เคารพ
หนู จ.พิษณุโลก ค่ะ
หนูอยากทราบว่าหนูมีองค์เทพรึเปล่าคะ

ตอบ ท่านมีองค์เทพชัดเจนแลแบบปฏิบัติครับ. (๔)    

แล้วหนูปฏิบัติถูกทางรึยังคะ
ตอบ ท่านยังปฏิบัติไม่ถูกต้องครับ
หนูสวดมนต์ทุกวันค่ะ นั่งสมาธิด้วย แต่ยังไม่สงบเลยค่ะ
นอกจากนั้นหนูได้ถวายน้ำและดอกไม้ทุกอาทิตย์ค่ะ
ตอน นี้หนูรู้สึกกลัว เพราะช่วงสองสามวันมานี้รู้สึกเห็นแสงสีขาวที่หางตาด้านซ้ายบ่อยมากๆเลยค่ะ ฝันแปลกๆบ่อยๆ เหมือนมีคนมากระซิบข้างหูด้วยเมื่อคืนนี้เหมือนได้กลิ่นธูปด้วยค่ะ แล้วรู้สึกปวดหัวข้างเดียวเลยทำให้รู้สึกกลัว หนูคิดไปเองรึป่าวคะ เป็นลางดีหรือว่าไม่ดีคะตอนนี้รู้สึกเครียดมาก
ขอบคุณหมอยามากๆเลยค่ะ

ตอบ นิมิตไม่ท่านยังไม่ถูกต้องนัก กอปกับการนั่งสมาธิยัง
       ไม่ถูกต้องครับ.....ควรเน้นเรื่องการสวดมนต์ให้เป็น
       สมาธิก่อนครับ....ค่อยเป็นค่อยไปครับ... ต้นเนื้อนาบุญ
       ค่อยๆปลูกครับ..ผลที่ได้จึงงดงาม..สาธุการ

 ขอให้หมอยาและครอบครัวมีความสุข พรอันประเสริฐใดๆ
ขอให้เกิดแก่หมอยาและครอบครัวตลอดไปค่ะ

                                   ชินากร

ศิษย์ไร้ครูเหมือนงูไร้พิษ.....
ศิษย์กตัญญูย่อมเจริญวัฒนาสืบไป
บุญรักษาครับ....ให้ท่านมีความสุข
        หมอยา

****************************

 


# 11
By หมอยา
On 2013-05-28 09:41:47
เจ้าตำหนัก
อนุโมทนา ครับ  ... คำนี้มักคุ้นเคยในหมู่ร่างทรงหรือวงการ สายเทพ... คุณสมบัติของผู้ที่สมควรเป็นเจ้าตำหนักที่ควรพบ หรือมีในตัวของเจ้าตำหนัก วิเคราะห์จุดเด่นๆมาได้ดังนี้ ถึงไม่เป็นทั้งหมดก็ควรมีแนวทางหลักๆไว้พิจารณา
๑. มีความพร้อมทางร่างกาย มีสุขภาพร่างกายปกติซึ่งสามารถประกอบกิจทางพิธีกรรมต่างๆด้วยตนเองครับ
๒. มีความพร้อมทางจิตใจ
ก. ไม่มีปัญหาทางจิต(โรคจิต อุปทานหมู่) ตรวจโดยจิตแพทย์ หลักโหราศาสตร์ หรือได้รับการยอมรับโดยสังคมว่า พฤติกรรมเป็นปกติ
ข. มีจิตใจที่จะช่วยเหลือผู้อื่น หรือมีความปราถนาดีต่อคนรอบข้าง
๓. ผ่านการตรวจองค์เทพ แลพบแล้วว่ามีองค์เทพ 
๔. มีความประพฤติหรือพฤติกรรมที่ดี เป็นที่ยอมรับในสังคม
๕. ผ่านการรับขันธ์ บูชาเทพ
ก. มีการประทับหรือสื่อกับเบื้องบน
ข. มีการได้มาซึ่งภาษาเทพมาก่อน
๖. มีศรัทธา.. เชื่อมั่น .. ไม่สงสัย
ก. มิใช่คิดอยากเปิดตำหนักก็ทำ เบื่อไม่อยากทำก็อ้างว่า ไม่มีเวลาปิดตำหนักไว้เฉยๆ นานๆตัวเองถึงจะขึ้นไปไหว้ครูอาจารย์ที่หิ้งสักครั้ง
ข. สัจจะที่กล่าวว่าจะช่วยคน เมื่อหลุดจากปากยามเปิดตำหนัก ถือว่าท่านได้มอบกายถวายตัวเพื่อการนี้ ต่อเทวดาฟ้าดิน
ค. สามคำด้านบนเป็นสิ่งที่ท่านพึงยึดเป็นสรณะ ตราบยังมีลมหายใจ
๗. เป็นผู้เกิดใหม่ (ตายแล้วฟื้น โคม่า มาก่อน)หรืออุบัติเหตุอย่างหนักมาก่อน สิ่งนี้เป็นลิขิตสวรรค์ไม่สามารถกำหนดได้เอง
๘. มีวุฒิภาวะ วัยวุฒิ พอสมควร
๙. เจ้าตำหนักไม่ติดสุรา ของมึนเมา สิ่งเสพติด สีกา
----------------------------------------
      ปัญหาที่เจ้าตำหนักมักพบเจอ
๑. การลงประทับไม่แน่น กรณีนี้เรียกว่าบารมีไม่พอ
๒. การลงประทับแบบสลับร่าง กรณีนี้เรียกว่าบารมีไม่พอ
๓. เจ้าตำหนักเองต้องอวมงคล เกิดอาการเจ็บป่วยตามมา มักเป็นผลมาจากการรักษาหรือช่วยเหลือ ลูกศิษย์ที่มีทุกข์เช่น โดนคุณไสย์ โดนของ ต้องอุบาทว์มา หรือมีเจ้ากรรมนายเวรติดมา แลตัวเจ้าตำหนักเอง มิได้ทำการปัดอุบาทว์ออกจากกายครับ
--------------------------------------------


sent: thursday, october 18, 2012 9:00 am
to: ท่านอาจารย์หมอยา เว็ปองค์เทพ
subject: กราบท่าน่อาจารย์ยามเช้าค่ะ

กราบท่านอาจารย์ที่ เคารพอย่างสูงค่ะ ศิษย์ภคจิรา  ลำดับที่ 30 นะคะ  คิดถึงท่านอาจารย์เป็นที่สุดค่ะ  ....  พร้อมกับมีข้อสงสัยอยากเรียนสอบถามท่านอาจารย์หลายประการค่ะ

1   ในจิตใจตอนนี้ว้าวุ่นสับสนเกี่ยวกับเรื่องอารมณ์ค่ะ  เป็นอารมณ์ของความชิงชัง เคืองแค้น เจ็บปวด  รังเกียจเดียดฉันท์ ของผู้ที่กระทำการให้เจ็บช้ำน้ำใจ  ผู้ที่มีนิสัยเห็นแก่ตัว เลวทรามต่ำช้า  ผู้ที่ตีสองหน้า กลับกลอก หน้าไหว้หลังหลอก  อย่างรุนแรง  จนมิอาจข่มลงได้ เป็นเวลาหลายวันหลายคืนแล้วค่ะ  ตั้งแต่ก่อนกินเจเสียอีก  จนกระทั่งเช้าวันแรกของการกินเจก็ระงับไม่อยู่ถึงกับว่ากล่าวบุคคลดังกล่าว ออกมาด้วยถ้อยคำรุนแรงกับคู่สนทนาที่สนทนากันถึงเรื่องของบุคคลผู้นี้  รวมทั้งยังนึกอยากระบายออกมาทางหน้าเฟซบุคหมือนที่หลาย ๆ คนกระทำกัน

2   ระดับความรุนแรงมากเสียจนนึกอยากกระทำการบางอย่างที่ผู้ตั้งสัจจะวาจาว่าจะช่วยเหลือเมตตาเพื่อนมนุษย์มิควรทำ

3   เช้าวันนี้ ได้เห็นข้อความบนโพสต์ของน้องกฤษณกร  ถึงเรื่องของการเปลี่ยนสายญาณจากบุญญฤทธิ์ เป็นอิทธิฤทธิ์ว่า "เป็นไปได้ไหมที่จู่ๆสายบุญฤทธิ์จะแปรเปลี่ยนเป็นสายอิทธิฤทธิ์งงและสับสน มากๆ t^t ใครพอรู้บ้างวานบอกหน่อยคับ" จึง สงสัยว่า เป็นไปได้จริงใช่หรือไม่  และศิษย์กำลังเป็นไปเช่นนั้่นใช่หรือไม่  เนื่องจาก เคยเจอเหตุการณ์ที่ทั้งรุนแรงกว่านี้  ทั้งเบากว่านี้  ทั้งเขาตั้งใจและเขาไม่ตั้งใจ   ก็ยังสามารถปล่อยวางและอโหสิกรรมได้จนเป็นปรกติวิสัย

4   เป็นไปได้หรือไม่ที่จะถูกจิตฝ่ายต่ำ หรือสัมภเวสีเข้าครอบงำ

5   ระดับความรุนแรงเช่นนี้ ต้องทำอย่างไร จึงจะสามารถขจัดไปได้  ... เนื่องจากแม้จะสวดมนต์นั่งสมาธิก็ไม่สามารถควบคุมได้

6   เกิดอะไรขึ้นจึงเป็นไปเช่นนี้  ทั้งที่ก่อนหน้านั้น  ชีวิตกำลังได้รับความเมตตาจากเบื้องบน จัดที่จัดทางให้เข้ารูปเข้ารอยของความสุขความเจริญ

ขอท่านอาจารย์ได้โปรดเมตตาชี้แนะสั่งสอน ..... 

รักและเคารพท่านอาจารย์เสมอ

ภคจิรา

ตอบ อนุโมทนาครับ เป็นคำถามที่ดีมากๆครับ อาจารย์วิเคราะห์และอธิบายดังนี้ครับ
ตอบคำถามข้อที่ ๑.ความ รัก โลภ โกรธ หลง เกิดกับทุกท่านครับ มากน้อยแล้วแต่กรณี ที่ท่านมีความรู้สึกคล้อยตามไป เพราะท่านมีความรู้สึกผูกพันเช่นเป็นคนที่ท่านเคยรัก เคยร่วมงาน หรือสนิทสนม เมื่อมีผลกระทบจากการกระทำจึงทำให้ท่านผิดหวัง เสียใจ โกรธเคืองครับ วันใดที่ท่านไม่รู้สึกโกรธ แสดงว่าเขาได้ตายจากใจท่านอย่างถาวรครับ  สำหรับเรื่องเฟสบุคจะพบเห็นว่ามีคนใช้เป็นช่องทางระบาย บางคนก็ออกมาแบบหยาบคาย ในเฟสของอาจารย์ก็เคยมีลูกศิษย์บางท่าน อยู่ๆก็โพสด่าศิษย์กันเอง โดยไม่ไต่ถามหรือสอบถาม ความจริง ถ้อยคำเสียดสี หยาบคาย ซึ่งอาจารย์ได้ลงโทษโดยลบออกจากทะเบียน การกระทำแบบนี้นับว่าไม่สมควร เป็นการประจานตัวเองครับยิ่งด่าเขาเรายิ่งเจ็บครับ เฟสบุ้ค ผู้สร้างคงหวังให้เป็นการสร้างสรร มากกว่าจะเป็นสื่อไว้สำหรับด่ากัน
ตอบคำถามข้อที่ ๒. สิ่งที่ท่านกล่าวมา ตัวอาจารย์ก็เคยเป็นครับ การมีสติไตร่ตรอง ไม่ยึดติด ปล่อยวางจะช่วยท่านได้มากครับ เพราะปัจจุบันนี้คนที่ทำเลวบริสุทธิ์ กลับไม่รู้สึกว่าตัวเองเลวมีถมไปครับ
ตอบคำถามข้อที่ ๓. จำแนกดังนี้ การเปลี่ยนสายญาณ วิเคราะห์ว่า บางท่านกำเนิดมามี องค์เทพเป็นสองสายญาณ แรกเมื่อเริ่มปฏิบัติ สัมผัสกับสายญาณแรกอาจเป็นทางอิทธิฤทธ์หรือบุญฤทธิ์ ก่อนแล้วแต่บุคคล เรียกว่าองค์นำ แล้วจึงเปลี่ยนเป็นองค์หลัก อีกสายญาณหนึ่งในเวลาต่อมา หรือออกมาในลักษณะทั้งบุญฤทธิ์และอิทธิฤทธิ์ควบกัน ครับ ไม่เกี่ยวพันกับคำถามสองข้อแรกครับนั่นเป็นเรื่องของอารมณ์ ริษยากับอริในใจครับ
ตอบคำถามข้อ ๔.๕.๖. เป็นไปได้ครับ ที่จิตมารเข้าแทรกครับ ส่วนมาก ที่จะเกิดลักษณะอาการเช่นนี้ มาจาก
     ผู้ปฏิบัติ เป็นศิษย์หลายครู มีความมุ่งหวังในการปฏิบัติเพียงเพื่อ สนองตัณหาแห่งตน เพื่อเป็นบันใดสู่ความเป็นเลิศเป็นหนึ่ง ไปหลายสำนัก ไปถึงมักลงประทับ การประทับมิใช่เพียงเพื่อเสริมบารมีบูชาครูอาจารย์ แต่มักเป็นในลักษณะเบ่งบารมี เรียกศิษย์เข้าหา นานวัน เมื่อพ่ายต่ออารมณ์ตนเอง จิตมารเข้าแทรกก็กลายเป็นสัมภเวสี ผีกะ ดังที่บางเวบได้กล่าวประณามครับ
     ผู้ปฏิบัติ เป็นผู้ที่รับขันธ์เข้าปีที่สาม สาเหตุ มักมาจากการได้ปฏิบัติมาระยะหนึ่ง บังเกิด บุญบารมี เริ่มมีผู้เลื่อมใสศรัทธา จึงเกิดอาการหลงผิด กราบใครไม่เป็นแม้กระทั่งครูอาจารย์ของตน แรกๆก็กราบลงพื้นด้วยศรัทธา พอเก่งแล้วยกมือไหว้เฉยๆก็มีครับ
    ผู้ปฏิบัติ หากสามารถผ่านเรื่องศิษย์หลายครู ขันธ์ปีที่สาม และยังมีความเป็นตัวของตัวเอง เคย อ่อนน้อมถ่อมตนก็เป็นเหมือนเดิมมีจิตใจที่ปฏิบัติด้วยความมีศรัทธา เชื่อมั่น ไม่สงสัย ดังเช่นที่รับขันธ์ครูวันแรก เป็นดังนี้แล้ว สิริมงมลย่อมบังเกิดครับ

**************************************

# 10
By หมอยา
On 2013-05-27 12:33:30

ความในใจของคณะผู้จัดทำ

ท่านที่เข้ามาขอรับการตรวจองค์เทพจะเห็นว่า การทำนายของเวบนี้...เป็นของฟรี...ก็มีมากครับ
๑ ท่านที่กระทู้เข้ามาส่วนมากมีการรับขันธ์หรือ ได้รับการทักทายมาจากที่ต่างๆเป็นทุนเดิมครับ
๒ ท่านเหล่านั้นมาหาความมั่นใจเพิ่มเติมรับ
๓ เท่าที่ผ่านมาเมื่อท่านเหล่านั้นได้รับคำทำนาย ก็หาได้ปักใจเชื่อไม่ว่ามีองค์เทพดัง ที่ตอบไปครับ จึงไปต่อ ยอดยังที่อื่นๆ เมื่อ ได้ประจักแก่ตนเองแล้วจึง มีเมล์ มาบอกกล่าว ขอบคุณก็มีอยู่เสมอครับ
๔ เนื่องจากว่าเป็นการตรวจฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย บางท่านเลยคิดต่อว่าหรือดูแคลนครับ หากคิดเงิน ท่านก็ว่าหวังอยากได้หรือหลอกลวงครับ การทำความดีบางครั้งก็ยากครับ
๕ มั่นใจได้เลยครับว่าตั้งใจตรวจให้ทุกท่านครับ

๖ กรุณาอย่าถามว่า เทพอะไรคงต้องขออภัยครับไม่ทราบว่า จะแนะนำเช่นไรครับ เพราะต้องใช้ การคำนวณในทางโหราศาสตร์ซึ่งมีขั้นตอนยุ่งยากพอสมควร และจะเป็นที่ ครหานินทาและเข้าใจผิดกันได้ครับ ขออย่าได้ถือโทษโกรธเคืองนะครับ
๗ หมอยาไม่ได้เปิดตำหนักหรือเป็นคนทรงแต่อย่างไรครับ จึงไม่ส่วน ได้เสียในการ บูชาเทพของท่านครับ
๘ บางท่านมีถามเข้ามาแบบว่าชี้นำว่าตนเองมี และหมอยาว่าไม่มีก็มีครับ
๙ หมอยาได้อธิฐานตนตอนรับขันธ์ต่อครูอาจารย์ว่า ขอให้ดูดวงแลตรวจองค์มีความเที่ยงตรง ขอเจริญในองค์เทพองค์ญาณครับ ..บุญกุศลที่ได้ อาจารย์หมอยา ขออุทิศให้แก่ คุณพ่อคุณแม่ ท่านอาจารย์แก้ว จันทร ครูเทพเทวา ครูพ่อปู่ฤาษี ครูบาอาจารย์ ครับ

หาก หมอยาทำนายว่าท่านมีองค์เทพแต่องค์เทพไม่เปิดหรือหวง ร่างเช่นนี้จะง่ายแก่ผู้ทำนายและไม่ต้องถูกท่าน สงสัยเป็นการโยนความรับ ผิดชอบไปไว้ที่ตัวเจ้าของดวงครับ  ความ เป็นไปได้อีกประการคือเมื่อได้ทำการขับดาว ของท่านถอยหลังเพื่อดูบุญบารมี..หากท่านมีบุญ บารมีสูง..อาจวิเคราะห์เป็นสาเหตุว่าการมีเทพ ของท่านเป็นกรณีพิเศษแต่มิใช่ผู้มีองค์เทพครับซึ่งกรณีนี้..หากผู้ทำนายเห็นลักษณะการวางดวง ก็จะทำการขับดาวหรือแจ้งให้ท่านไปทำการผูก ดวงชะตาให้เป็นเรี่องเป็นราวครับ

 เมื่อท่านได้มาตรวจองค์เทพในเวบนี้แล้ว...ได้รับคำตอบว่าท่านมีองค์เทพ ข้อควรปฏิบัติเบื้องต้น
๑. ท่านสามารถไปขอรับการตรวจองค์เทพเพิ่มเติม... ได้จากเวบไซต์อื่นๆที่ให้บริการ.. หรือการตรวจในลักษณะอื่นๆ สิ่งที่ควรทำ ไม่สมควรพาดพิงเวบองค์เทพดอทคอม.. เพราะท่านได้ทำการสาบานไว้ เมื่อมาขอรับการตรวจเบื้องต้นแล้ว เพราะผลแห่งการกระทำในความอยากรู้ อาจส่งผลเสียให้เกิดการแตกความสามัคคีได้ครับ
๒. ให้ทำการศึกษา หาข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งทางเวบองค์เทพดอทคอม ก็มีข้อมูลต่างๆมากพอสมควร
๓. บางท่านใจร้อนรีบไปรับขันธ์..ถือว่าไม่สมควรอย่างยิ่ง
๔. ขอให้ทุกท่านเริ่มต้นด้วย ใจอันเป็นกุศล มี ศรัทธา เชื่อมั่น แลไม่สงสัยครับ
๕.
สำหรับ ผู้ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ อายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ตามกฏหมาย ควร มีผู้ปกครองชี้แนะเพราะ เจ้าชะตาอายุยังน้อยอาจตัดสินใจหรือรับขันธ์ทั้งที่ยังไม่พร้อม หรือไปรับขันธ์ผิดได้ครับ ด้วยทั้งยังขาดวุฒิภาวะ ประสบการณ์ชีวิต วิสัยทัศน์ และหลงตนเองว่ามีฤทธิ์มีเดชไปเที่ยวลองของผู้อื่น
ลำดับต่อมา... เป็นจุดประสงค์หรือเป้าหมาย ในการเดินสายเทพของท่านว่ามีเช่นไร
๑. อยากเป็นร่างทรง เป็นผู้วิเศษ
๒. อยากหายอาการเจ็บไข้
๓. อยากลบกรรมลิขิต โดยคิดว่าคนอื่นจะมองไม่เห็นกรรมนั้น
๔. อยากรวย
๕. อยากช่วยคน
๖. อยากมีเครื่องยึดเหนี่ยวให้เป็นคนดี
 
๗.อยากบูชาด้วย ศรัทธา.. เชื่อมั่น.. ไม่สงสัย

หลักการปฏิบัติเบื้องต้นของผู้มีองค์เทพ
๑ . งดหรือห้ามรับประทานเนื้อวัวควายตลอดชีวิต
๒ . ห้ามรับประทานเครื่องเซ่นบวงสรวงของคนอื่น (เครื่อง เซ่นบวงสรวง ของตัวเอง สามารถนำมารับประทานได้ครับ ของเซ่นไหว้บรรพบุรุษ หรือผีไม่มีญาติควรงดครับ เครื่องเซ่นที่ปักธูปดอกเดียว ควรงดครับ)

๓ . ห้ามรับประทานอาหารหรือของกินต่างๆในงานศพงานแต่งหากจำเป็นต้องไป ให้จุดธูปกลางแจ้ง ๑๖ ดอกบอกกล่าวขออนุญาติต่อองค์เทพ ที่ว่าไม่ควรกินอาหารที่งานศพ ด้วยเหตุว่า
       ๑. ไม่ทราบว่าสะอาดหรือไม่
       ๒. ถ้าไปงานแล้วอยู่ไม่กี่ชั่วโมง ให้ทานอาหารจากบ้านไปครับ
       ๓. ถ้าอยู่ช่วยงานทั้งวัน เวลาจะกินให้ตักไปกินนอกศาลาครับ ให้จุดธูปบอกกล่าวต่อเทพเทวาหรือพนมมือตั้งจิตอธิฐาน ว่ามีเหตุจำเป็นเพราะ ผู้ที่ล่วงลับเป็นญาติผู้ใหญ่ จำต้องร่วมงานและช่วยงานศพให้ลุล่วงด้วยดี เป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทิตา
๔ . สวดมนต์เป็นประจำ ชีวิตจะรุ่งเรือง (ให้เปิดตาสวดมนต์ การนั่งสมาธิเพียงให้ใจสงบ ห้ามหักโหม)
๕ . ก่อนที่จะไปทำการรับขันธ์ ต้องทำพิธีอาบน้ำมนต์ ๓ ครั้งก่อนหากดวงท่านต้องรับขันธ์หรือเดินสายเทพครับ  การรับขันธ์ อาจารย์หมอยา ขอให้เป็นทางเลือกสุดท้ายครับ
มีข้อคิดเตือนใจ สำหรับ(ผู้ที่มีองค์เทพครับ) คือการครองเรือนครับ ข้อควรปฏิบัติดังนี้
๑. หากจะมีวันพิธีสำคัญเช่นไหว้ครูบูชาเทพประจำปี ประจำหิ้งบูชาตัวเอง ให้ลูกศิษย์ทุกท่านถือศีลให้บริสุทธิ์อย่างน้อย๒วัน ก่อนวันพิธีครับนับวันพิธีเป็นวันที่สามครับ
๒. ในระหว่างการไหว้ครู บูชาเทพที่หิ้งให้ รักษาระดับจิตใจ และอารมณ์ให้นิ่งและสำรวม
๓. ตั้งจิตอธิฐานถ้าจะมา ขอให้มาด้วยบุญฤทธิ์ มาด้วยบารมี มาด้วยสง่าราศรีครับ
๔. นอกเวลาการบูชา ขอให้ทุกท่านจงอย่าหลงติด คือสามารถใช้ชีวิตเป็นปกติเช่นคู่สามี-ภรรยาโดยทั่วๆไปครับ 
๕. หากเป็นคู่สามี-ภรรยา ไม่อนุญาติให้แยกห้องนอนครับ ความ อบอุ่น ความใกล้ชิดจะหายไปครับ ให้ใช้ชีวิตตามปกติครับ (กรณีที่ร่างนั้นยังอายุไม่มาก จะเห็นได้ว่า หากขาดผู้ชี้นำปัญหาการครองเรือนมักตามมาด้วยความไม่เข้าใจกัน ระหว่างสามี-ภรรยา)
๖. สำหรับการเปิดตำหนัก ผู้ที่เปิดตำหนัก การรักษาวินัยและศีลย่อมต้องเคร่งครัดกว่าธรรมดาครับ เพราะท่านไปยุ่งกับชะตาของผู้อื่น
๗. สำหรับเจ้าตำหนักควรยึดหลักสามประการให้เป็นหลักเกณท์ในการปฏิบัติ
      ๗.๑ ไม่รักลูกศิษย์ (มีความสัมพันฉันท์ชู้สาว) ส่วนมาก มักพบปัญหานี้เสมอไม่ว่าเจ้าตำหนักจะหนุ่มหรือแก่ ดังนั้น จงระวังกาย ใจ ไว้เสมอ(ปาราชิก,สังฆาทิเสส)
      ๗.๒  ไม่โลภเรียกร้อง เงินทอง
      ๗.๓  ไม่โกรธถ้ามีผู้แนะนำตักเตือน
    ในท้ายที่สุด การบูชาเทพหรือปฏิบัติธรรม อาจารย์หมอยา ขอให้ศิษย์ทุกท่านได้ ประพฤติ ปฏิบัติในลักษณะสายกลาง ไม่หักโหมแต่ให้ดำเนินไปโดยสม่ำเสมอและมีศรัทธา เชื่อมั่น ไม่สงสัย แค่นี้ก็เป็นสุขได้ครับ เอวังก็มีด้วยประการเช่นนี้...สาธุการ
๘. ควรมีประคำประจำกายอย่างน้อย ๑ เส้น จะเป็นแบบใดแล้วแต่องค์เทพฃองแต่ละท่านครับ
๙.  เมื่อรับขันธ์มาปฏิบัติแล้วท่านเสพยา สารเสพติดเช่น ยาบ้า ยาอี ยาไฮ้ซ์
๑๐.ไม่ดื่มเหล้าในวันบวงสรวงเทพเทวา วันไหว้ครูของท่าน
๑๑.เมื่อ พราหมณ์หรือเจ้าพิธีกล่าวเชิญครูเทพบนสวรรค์มารับเครื่องบวงสรวง ร่างทรงไม่บังควรลุกไปหยิบเครื่องเซ่นบนโต๊ะ มากัดกิน ด้วยลีลาแปลกๆ เรียกว่าไม่รู้กาละเทศะครับ ท่านว่าผิดครูและจะเกิดอาเภทตามมาครับ
๑๒.คู่ สามี-ภรรยา หากผิดใจหรือทะเลาะเบาะแว้ง ไม่เข้าใจกัน มักเอาเรื่องของอีกฝ่ายที่นับถือเทพมากล่าวในทางเสียหาย ลบหลู่ดูหมิ่น ทั้งที่ไม่เคยคิดถึงสิ่งที่ตัวเองบกพร่อง จะต้องอวมงคล ธรณีสารครับ

-------------------------------------------

สิ่งที่ควรมีในผู้เดินสายเทพ
๑. ควรมีสัมมาคาราวะ รู้จักให้เกียรติผู้อื่น
๒. ควรมีการรู้กาละเทศะ ว่าอะไรควรไม่ควร ของแบบนี้ไม่เชื่อก็ไม่ควรลบหลู่ครับ

๓. ควรรู้จักการครองตน ไม่ใช่ว่าเรียนวิทยาคมไสย์เวทย์มาเก่งหรือปฏิบัติสายเทพมา ไปอวดอ้างหรือไปลองภูมิ ลองของคนอื่น เรียกว่าไม่ประมาณตน หากจะโปรดหรือช่วยผู้อื่นก็ขอให้เป็นไปโดยสุภาพชน ด้วยน้ำใจไมตรี
นี่เป็นบทความที่ดีมากของท่าน tada โอม สดา ศิเวศวร อิสี มุณี ปุญญะ
หลักแห่งการปฏิบัติที่พึงกระทำ

1.ย่อมไม่โอ้อวดตน
2.ย่อมไม่ละโมบ
3.ย่อมไม่อหังการ
4.ย่อมละทิฐิ
5.ย่อมมีเมตตาเป็นที่ตั้ง
6.ย่อมรู้จัก ละ ลด ปลด วาง
7.ย่อมไม่ขวนขวายในสิ่งอันมิชอบมาเป็นของตน
-----------------
สิ่งที่ไม่ควรปฏิบัติอย่างยิ่งเมื่อจะเดินสายเทพ
๑. ขอในสิ่งที่เกินตัวเช่น ขอรางวัลที่๑ ขอแจ็คพ็อต๔๐ล้าน แต่ตัวเองไม่ขอรับขันธ์ใดๆทั้งสิ้น ไม่ของเป็นร่างทรงหรือเปิดตำหนักช่วยคน.. เรียกว่าขอเฉยๆ
๒. ตัวเองติดกรรมลิขิตเช่น ทำแท้งแลยังมิได้มีจิตสำนึก จะขอขมาลาโทษ
๓. ยังมิได้อาบน้ำมนต์สามครั้ง... ก่อนการรับขันธ์
๔. บางท่านเป็นเจ้าตำหนัก.. กลับขอบารมีต่อฟ้าที่มากเกินวาสนาแห่งตน.. ยามลงทรงอาจมีการเฉือนลิ้นหรือแทงปาก..
๕. ตัวเจ้าของร่างเองยังมิได้มี จิตเลื่อมใสศรัทธา เชื่อมั่น ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะไปรับขันธ์ใดๆ
๖. ตัวเจ้าของร่างต้องคุณไสย์ อวมงคลต่างๆอยู่ก่อนแล้ว.. หากทำการรับขันธ์ เป็นไปได้สูงที่จะถูกสัมภเวสีเข้าสิงสู่.. มีบางเวบที่ด่าเรื่องขันธ์ผี .. คงต้องยอมรับว่า มีส่วนจริงครับเพราะเขาต้องการเตือน มิให้เข้ารับขันธ์โดยขาดการพิจารณาครับ
๗.การมุ่งมั่นมากเกินขีดจำกัด เช่น นั่งสมาธิกรรมฐานมากเกินไป สวดมนต์มากเกินไป ด้วยมุ่งหมายที่ฤทธิ์บารมีอยากสัมผัสกับการมีองค์เทพเกินขีดจำกัด
๘.บาง ท่านมาเดินสายเทพ คำแรกที่กล่าวคือ อยากเห็นผี อยากล่วงรู้อนาคต.. บางท่านเมื่อได้สัมผัสแล้วเสียสติก็มีครับ เช่นยกตัวอย่าง บางท่านไปเล่นเครื่องเล่นที่สวนสนุก เรือไวกิ้ง หรือตกหอสูง ใหม่ๆก็สนุกครับ พอไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ก็จะกรีดร้องไปเลย เครื่องเล่นเหล่านี้สามารถหยุดได้ แต่ถ้าเห็นผีหรือล่วงรู้แล้วไม่สามารถยุติได้ โปรดไตร่ตรอง
๙. การเห็นเรื่องเทพหรือสิ่งที่ผู้คนเขานับถือบูชา เป็นของเล่นสนุกๆ ขำๆ ลบหลู่ ความวิบัติจะเกิดกับบุคคลผู้นั้นครับ
๑๐. การสาบานแบบเพ้อเจ้อ หรือบนแบบพร่อยๆ เช่น กินเจตลอดชีวิต รวยหรือโชคดีแล้วจะกลับมาบูชา เรียกว่าพูดไม่คิด ขอให้ตนเองสมปราถนา ยามสวรรค์ลงโทษ จะสำรอกเอาสิ่งที่ตนเองกล่าวออกมา หรือล้วงเอาเลือดออกมาจากปากตัวเอง
ท่านใดยังติดใน๑๐ ข้อที่กล่าวมาขอให้ลดละเลิกไปเสียครับ
--------------------------------------
อาการของคนที่เริ่มจะเปิดองค์เทพ
๑. มีอาการเวียนศรีษะ หนาว-ร้อน เรอลมจากกระเพาะ เหงื่อออกมาก ขนลุก นอนหลับยาก หน้ามืดวิงเวียน
๒. ยามองค์เทพมาจะสื่อถึง กลิ่นธูป กลิ่นกำยาน กลิ่นหอมต่างๆ
๓. ยามสัมภเวสีมาเบียดบัง จะได้กลิ่นเหม็น กลิ่นสาปสาง(คนใกล้เคียงสัมผัสได้ครับ)
๔. ยามสัมภเวสีมาสิ่งสู่ หรือองค์เทพมาประทับมีลักษณะ อาการใกล้เคียงกัน แต่ลักษณะที่แสดงออกแต่งต่างกันโดยสิ้นเชิง (สัมภเวสีมา พูดจาหยาบคาย กินเครื่องเซ่นมูมมาม ลุก-นั่ง ไม่สำรวม บางคนนั่งเกาอวัยวะเพศตนเอง มีกิ่นเหม็นโชยมาจากร่าง เสพสุรา ร่ายรำไม่สำรวม)
๕. ร่างมีอาการผิดปกติ เสียขวัญ หรือคล้ายคนที่องค์ลงหรือเสียสติ เกิดจากการถูกลงโทษเพราะ ชอบบนบานศาลกล่าว ให้สัจจะต่อองค์เทพแล้วละเลยไม่ปฏิบัติตาม หรือไม่สามารถทำตามที่ให้สัจจะไว้
๕. ร่างมีอาการลงประทับแรง หรือควบคุมยาก มักเกิดจาก บารมีร่างรับไม่ทันกับองค์เทพ แก้ไขโดยการฝึกจิตให้เข้าถึงรักษาศีล สวดมนต์ รู้เท่าทันกิเลส ดำรงตนเป็นพุทธมามะกะ
ระงับความ โลภ โกรธ หลง ให้รู้จักพิจารณา ขันธ์๕ (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)ธาตุ๔ (ดิน น้ำ ลม ไฟ )

-------------------------------

พานครู ใช้เป็นเครื่องประกอบพิธีต่างๆ เช่น บวงสรวง ไหว้ครู ตั้งหรือถอนศาลเป็นต้น ส่วนประกอบ
๑. ธูป ๕ ดอก
๒. เทียนขาว ๕ เล่ม
๓. พวงมาลัยกร
๔. หมากอย่างน้อย ๕ คำ
๕. เงินกำนัลครู ๑๒ บาท

 
---------------------------------------------------------------------
ส่วนขันธ์ครู จุด ประสงค์ของขันธ์ครู...สำหรับท่านที่รับขันธ์มาแล้วได้ทำการล้างขันธ์มา เนื่องด้วยสาเหตุใดก็ตาม (เสื่อมศรัทธาในเจ้าตำหนักหรือผู้ประสิทธิ์ขันธ์) ควรขึ้นขันครูแทน โดยวิเคราะห์ดังนี้
๑. เพื่อเรียกขวัญของตัวเอง แลอยู่เย็นเป็นสุข มั่งมีศรีสุข
๒. เพื่อแสดงความกตัญญู ความเคารพต่อองค์เทพของตน
๓. เพื่อบูชาครูทั้ง๕ คือ ครูเทพเทวา  ครูอาจารย์ ครูอบรมสั่งสอน ครูอักษร ครูพักร์
๔. เพื่อเสริมสร้างบารมีแห่งตน
๕. สำหรับเจ้าตำหนักหรือผู้ที่ใช้วิทยาเวทย์รักษาคุณของผู้อื่นครับ
๖. เพื่อป้องกันเจ้าตำหนักเก่าหรือผู้ไม่หวังดีกระทำคุณไสย์ใส่
๗.เพื่อ เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของตัวเอง... ให้รู้จักหมั่นดูแลรักษาหิ้งพระหิ้งบูชา.. สวดมนต์ตามโอกาสเป็นการปูแนวทางเดินของชีวิต ให้ใกล้ชิดพุทธศาสนาสืบไป
(หาก ท่านมีครู แลมีประสงค์จะขึ้นขันธ์ครู เป็นสิทธิส่วนบุคคลครับ ไม่มีใครสามารถชี้นำท่านว่าจะรับ-ไม่รับครับ จงเคารพในการตัดสินใจของตัวเอง มิใช่ให้ผู้อื่นชี้นำครับ)
------------------------------------
1. เรารับขันธ์ทำไม?
ตอบ การรับขันธ์ขอให้เป็นทางเลือกสุดท้าย หากไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ครับ จุดประสงค์

ก. เป็นดวงจุติมาเกิดเพื่อเดินสายเทพ
ข. ได้ปฏิบัติบูชามาระยะหนึ่งแล้ว.. มีศรัทธา.. เชื่อมั่น .. ไม่สงสัย อย่ารับขันธ์ด้วยเพียงเหตุผลว่าโดนทัก หรือมีคนบอกให้รับขันธ์ครับ หากท่านขาดเหตุผลในข้อ ข. นี้ไม่สมควรรับขันธ์ครับ
ค. อย่ารับขันธ์เพราะความโลภ อยากรวย หรือทั้งๆที่ท่านยังเต็มไปด้วย ตัณหา ราคะ อยากได้ไม่สิ้นสุดครับ
ง. อาจารย์ไม่มีประสงค์เรื่องขันธ์เทพ เป็นกรณีหากไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เท่านั้น เพราะได้มาง่ายรักษายาก เรียกว่าเสียมากกว่าได้ ท่านที่รับขันธ์จึงพึงสังวรณ์ไว้ว่า ผู้ที่รับขันธ์เสียมากกว่าได้ คือ เสียสละ ( คือการช่วยเหลือผู้อื่น ผู้ที่เห็นแก่ได้ไม่สามารถในข้อนี้ครับ) เสียเวลา (การบูชาต้องแบ่งเวลา) เสียความรู้สึก (ทำดีไม่ได้ดี ช่วยเขาแล้วได้ดีลืมบุญคุณ ไม่ได้ผลหรือได้ผลช้ากลับมาลบหลู่) เสียใจ (ศิษย์หรือกัลยาณมิตร ... เนรคุณ)

2. ข้าพเจ้าสามารถรับได้หรือไม่ ?
ตอบ ได้ครับ ถ้าตรวจพบแล้วว่ามีองค์เทพจริง และสามารถตอบปัญหาข้อ ๑ ด้านบนได้แล้ว

3. การรับหรือไม่รับใครกำหนดคะ ?
อบ เบื้องบนครับ คนทำฤาจะสู้ฟ้าลิขิต

4. แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตหรือไม่คะ ?
ตอบ ย่อมเกิดแน่นอน  คิดดีทำดี    จำเริญรุ่งเรือง
                             คิดชั่วทำชั่ว วิบัติดับสูญ...
                             คิดไม่ตกทำไม่ได้ ...อย่าทำ

5. อาการมึนหัว ตัวเย็น จะอาเจียนดังกล่าวเกิดจากสาเหตุใด
ตอบ อาการที่เกิดเป็นได้หลายกรณี  สัมภเวสี..เจ้ากรรมนายเวร.. กรรมลิขิต  หรือเทพเทวาครับ

6.แล้วเหตุใดคนอื่นๆที่เขารับขันธ์ถึงมีท่าทางแปลกๆ
ตอบ ขึ้นกับร่างทรงนั้นๆ ท่าทางแปลกๆวิเคราะห์ดังนี้
ก. การแต่งการแปลกออกไป... ถ้าแปลกมากไปเดินถนนคนว่าบ้าครับ
ข. อาจารย์เคยพบ งานไหว้ครู บางงาน ร่างทรงที่มาร่วมงาน องค์ลงก่อนเจ้าภาพครับ บางท่านสวดแข่งกับพราหมณ์ ที่เขาเชิญมาทำพิธี เรียกว่าไม่รู้กาละเทศะ หากร่างทรงใดมีพฤติกรรมเช่นนี้ ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ก็ไม่สมควรไปงานครับ ยิ่งไม่สนิทเจ้าภาพยิ่งสมควรพิจารณาตัวเองครับ
ค. ร่างทรงบางท่านยึดติดมากไปครับ.. เวลาไม่ได้ประทับทรง ยังเดินตัวลอย คิดว่าตัวเองเป็นเทวดาก็มีครับ ต้องการให้คนมากราบกราน
ง. บางคนเป็นเจ้าตำหนักชอบโทรหายืมเงินลูกศิษย์..จิกเป็นรายๆ แบบนี้ไม่ไหวครับ (เช็คไป-เช็คมายืมไปทั่วครับ) .. กฏข้อ ๗ ของการเป็นเจ้าตำหนักควรรักษาไว้........
จ. มีบางท่านอ้างว่า เป็นผู้มีญาณหรือองค์เทพ..ใชัญาณหรือบารมี องค์เทพตรวจ... ลูกศิษย์ที่มาหากเป็นหญิงสาวมักกล่าวอ้างว่า ในอดีตหรือองค์ของทั้งสองเป็นสามีภรรยากัน.... ให้มาพบเจอกัน... มักพบได้เมื่อท่านไปเจอในเวบแล้วออนเอ็มหรือโทรหากัน ... โปรดใช้วิจารณญาณของท่านให้รอบครอบ หากท่านเป็นหญิงสาว....ไม่เว้นสาวน้อยหรือสาวใหญ่ หรือกำลังว้าวุ่นใจ สับสน โปรดระวัง

7. การรับขันธ์ครู หรือขันธ์เทพ อาจารย์หมอยามีประสงค์ว่า ขอให้ผู้ที่รับขันธ์นั้น มีเจตนารมณ์ที่จะบูชาเทพแห่งตนเป็นสรณะบูชาตัวเอง เรียกว่า ให้ความยอมรับนับถือตัวเอง... เพื่อเป็นขวัญกำลังใจ ในการประกอบอาชีพเพื่อความเจริญรุ่งเรือง ของตัวเอง เป็นคนดี มีที่ยึดเหนี่ยว หาใช่ให้ไปยึดติดกับเจ้าตำหนักใดๆก็หาไม่ครับ (มี บางท่านกล่าวโจมตีว่า ผู้ที่ไปรับขันธ์ เป็นผู้มีจิตใจอ่อนแอ ชอบเป็นเบ๊เป็นบ่าวผู้อื่น แบบนี้ก็เกินไป ใครจะเก่งเหมือนท่านละครับ) ความสามารถ การรับรู้และสภาวะแวดล้อม สำหรับบางท่านก็เหมือนโดนบีบคั้น ดังนั้น..... เวบองค์องค์เทพดอทคอมจึงก่อกำเนิดขึ้น เพื่อหวังว่า จะเป็นแนวทางเพื่อการศึกษาในศาสตร์แขนงนี้ครับ.. ให้เป็นเนื้อนาบุญสืบไป 
-----------------------------------------------------------------
๑. การครอบครู ไม่ทราบว่า จัดขึ้นหรือมีขึ้นดังประสงค์ใดเช่น มีพิธีไหว้ครู ครอบครู เป็นการจัดขึ้นเฉพาะกิจหรือเฉพาะกลุ่ม มีวัตถุประสงค์ชัดเจน เช่น
๑.ไหว้
ครูโหราสาตร์ครูอาจารย์ครูเทพเทวา.....
๒.ไหว้ครูสักยันต์ครูไสยเวทย์....................
๓.ไหว้ครูนาฏศิลป์ครูดนตรีครูโนราห์............
๔.ไหว้ครูเจ้าตำหนัก...............................
๕.ไหว้ครูโดยคณะศิษย์จัดขึ้น .....มีวัตถุมงคลขาย.. มีกิจกรรมเหมือนขายบัตร
มี การตัดเงินถวายอาจารย์เป็นสัดส่วน.. แบบนี้สังเกตุง่ายครับเพราะครูอาจารย์ท่านนั้นๆจะไม่ค่อยพูด.. ทำกิจกรรมตามรายการและรายล้อมด้วยศิษย์ ไม่สามารถเข้าถึงตัวอาจารย์ได้
จุด ประสงค์ย่อมแตกต่างกันไปครับ.. แล้วอยู่ๆ มีการนำเศียรไปครอบให้กับผู้มาทำบุญทั้งๆที่ ....บุคคลผู้นั้น มิได้ร้องขอหรือมีเจตนาจะครอบ.. นั่นด้วยประสงค์สิ่งใด.. เพราะสี่ข้อที่กล่าวมาด้านบน ผู้ที่มางานทราบดีว่ามีพิธีครอบครู.. หาก ท่านไม่สบายใจ ให้ทำการอาบน้ำมนต์สามครั้ง อธิฐานขอคืนสิ่งที่ท่านไม่ได้มุ่งหวังจะมี หรือแรงครูแลอวมงคลต่างๆ ที่ได้รับมา ขอจงกลับคืนสู่ต้นทางคือผู้เปิดดวงครอบครูครับ

***************************************************

จำเป็นไหมที่ต้องไปงานไหว้ครู
๑. ไปงานไหว้ครูด้วยใจเคารพครูท่านนั้นๆ ด้วยความสบายใจ
๒. ไปงานไหว้ครูเพราะต้องการไปฟังพราหมณ์หรือคนชุดขาวสวดโองการบูชาเทพเทวา
๓. ไปเพราะเคารพเป็นศิษย์เป็นครู
......................................................

หลักปฏิบัติทั่วๆไป

๑. เมื่อท่านเป็นศิษย์มีครูแล้ว สามารถไปงานไหว้ครูที่อื่นๆได้ไหม สามารถไปได้ครับ ไปฟังพราหมณ์หรือหมอขวัญ คนชุดขาวทำพิธีได้ครับ...ไม่ว่าจะเป็นตามวัดหรือตำหนักต่างๆ
๒. ท่านสามารถไปรับการครอบครูที่อื่นๆ นอกจากครูของท่านได้หรือไม่... คำตอบต้องว่าไม่สมควรนัก..... เพราะมิได้เป็นศิษย์เป็นครูหรือมีความนับถือกันมาก่อน.. เพราะก่อนที่ท่านจะกราบครูอาจารย์ของท่านยังใช้เวลาไตร่ตรอง ...กับการพบปะหน้างานแล้วครอบครูเลย ต้องถือว่าไม่สมควรทำครับ
๓. ขณะครอบครู ควรลืมตาหรือหลับตา ควรก้มศรีษะหรือไม่....... อาจารย์บางท่านก็บอกลืมตา อาจารย์บางท่านก็บอกว่าหลับตา.. อาจารย์หมอยาจึงมีโอวาทแก่ศิษย์ดังนี้ เพื่อพึงใช้ปฏิบัติเพื่อเป็นบรรทัดฐานสืบไปว่า หากเป็นงานปีของครูบาอาจารย์ของท่าน.. เมื่อท่านได้รับขันธ์ปราวณาตนขอเป็นศิษย์โดยมี ศรัทธา เขื่อมั่น ไม่สงสัยเป็นที่ตั้ง ดังนั้นแล้วขณะมางานไหว้ครู เมื่อมาขอรับการไหว้ครู ควรก้มหน้า หลับตาระลึกถึงครูอาจารย์ทั้งห้า การก้มหน้าเพื่อเป็นการแสดงความนอบน้อมต่อครูอาจารย์ มิได้เงยหน้าสบตาเพราะ ไม่มีกังวลอันใดว่าครูหรือผู้ที่ดำเนินการครอบครูจะทำการสะกดองค์ของท่าน มีจิตรักแลกตัญญู ไม่มุ่งหวังเทียบบารมีครู .... แต่ในส่วนของการไปครอบครูกับคนอื่นที่มิใช่อาจารย์ของตน หากหลีกเลี่ยงได้ก็พึงละเว้นเสีย นอกจากครูท่านนัั้นๆมีความคุ้นเคยกันมาก่อน ใน ขณะครอบครูให้ท่านลืมตาแลไม่ก้มศรีษะครับ
**************************************
จริงไหมที่มีคำกล่าวว่ามีเทพแล้วจะครองคู่หรือทีคู่ยาก ถึงมีก็จะเลิกล้างกันไป
ตอบ วิเคราะห์ดังนี้ครับ

๑. เพราะการปฏิบัติที่มุ่งมั่นจนเกินความพอดี ขาดครูอาจารย์คอยเตือนสติ แบบนี้เรียกว่าหลุดโลกครับ
๒. เพราะวิสัยมนุษย์มักโทษคนอื่นก่อนโทษตัวเองครับ.... เช่นเกิดเหตุการณ์ไม่ดี เคราะห์กรรมต่างๆ มักโทษขันธ์ โทษเทพเทวา ว่าขันธ์ผี เป็นต้น โดยไม่ได้มองความประพฤติตนเองว่า ได้เคยก่อกรรมอันใดไว้ เช่น บางท่านเคยทำแท้งมา1-2-3-4-5-6-7-8-9-10ครั้ง เวลาคุยกับอาจารย์ น้ำเสียงหาได้มีความเสียใจหรือจิตสำนึกไม่ ผลกรรมย่อมติดตามมา ทำให้ท่านไม่มีความสุขในชีวิตคู่การครองเรือนครับ......  อาจารย์เคยได้ยินคำบอกเล่าจากปากลูกดวงว่า เคยไปดูหมอ กับหมอดูหรือพระอาจารย์ เพื่อดูเด็กในครรภ์(กำลังตั้งครรภ์) ว่าเป็นเช่นไร ได้รับคำทำนายว่า เป็นกาลีให้เอาเด็กออกหาไม่สามีจะมีภรรยาน้อยและตกต่ำ คู่สามี-ภรรยาก็ไปเอาเด็กออก เป็นเช่นนี้สองครั้ง ครั้งที่สามฝ่ายภรรยาไม่ยอมเก็บเด็กไว้เมื่อคลอดออกมา ฝ่ายสามีก็ไปมีภรรยาน้อยอยู่ดีครับ...  ฝ่ายลูกดวงก็บอกว่า หมอดูหรือพระอาจารย์ท่านนั้นมีชื่อเสียง อีกด้วย อาจารย์ที่ดูดวงเช่นนี้เลวมากครับหาที่เปรียบมิได้.. คงต้องตกนรกหมกไหม้ไปชั่วกัปชั่วกัลย์ครับ
๓. สามี-ภรรยา อยู่ด้วยกัน ไม่ให้ เกียรติซึ่งกันและกัน เช่นภรรยาไม่ให้เกียรติสามี พูดจาไม่มีหางเสียงแถมหยาบกระด้าง เห็นแก่เงิน รักครอบครัวตัวเองมากกว่าสามี เอาเงินที่สามีฝากไว้ที่ตัวเองไปให้คนอื่น ให้ครอบครัวตัวเอง เช่น ปล่อยกู้ ให้ยืม ยามขัดสนก็ด่าทอ ไม่ได้สนใจว่าเงินที่หามาได้ด้วยความเหนื่อยยาก และได้นำมาฝากไว้ มิใช่เงินของตน พูดจาก้าวร้าว หลบหลู่ดูหมิ่นสามีไม่พอแถมเลยเถิดไปยังองค์เทพเทวา สามี-ภรรยาท่านใดเมื่ออ่านมาถึงตรงนี้พึงสังวรณ์ว่า การเคารพเทพเทวาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นเหตุผลส่วนตัวและเป็นสิทธิ์เสรีภาพขั้น พื้นฐาน หากจาบจ้วงกันเมื่อใดก็ไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ครับ หากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดกระทำเช่นนี้ เรียกว่าไตร่ตรองไว้ก่อนแล้วมีเจตารมณ์จะเลิกกับฝ่ายตรงข้าม ครับ ทำเพื่อความสะใจทำได้ครับ แต่จะเสียใจภายหลังครับ

**********************************
ข้อสังเกตุ
๑. การที่เจ้าตำหนักโทรมาเร่งรัด หรือให้ศิษย์มาบีบคั้นให้ไปงานไหว้ครู
๒. โทรมาเร่งรัด
หรือให้ศิษย์มาบีบคั้นว่า ดวงตกต้องมาเสริมขันธ์
๓. โทรมาเร่งรัด
หรือให้ศิษย์มาบีบคั้นว่า ถ้าไม่มางานไหว้ครูจะมีอันเป็นไป

      เหล่านี้เป็นการบังคับ ข่มขู่ วิธีการต่างๆนานาสารพัดที่จะบีบบังคับให้ท่านไปงานไหว้ครูของเขาให้ได้ เช่นนี้แล้วพึงระลึกไว้เสมอว่า ไม่ถูกต้องและไม่จำเป็นต้องไปครับ ศรัทธาควรมาจากใจ มิใช่ข่มขู่ครับ จึงมีบางเวบที่ประณามร่างทรงหรือตำหนัก ก็นับว่าสมควรแล้วครับ
    ทุกท่านที่เข้ามาศึกษา เวบองค์เทพ ขอให้นำบทความไปไตร่ตรอง จงเชื่อมั่นในการตัดสินใจของท่าน ควรมีจิตใจอันมั่นคง อย่ายอมสยบให้กับคำข่มขู่ หากวุ่นวายใจก็เลิกไปตำหนักนั้นๆเลยครับ งานไหว้ครูก็ไม่ต้องไปครับ จงเชื่ออย่างมีสติ เหตุผล ครับ
    เวบองค์เทพตอทคอม มีประสงค์ให้ท่านทั้งหลายได้ศึกษาบทความ ก่อนการตัดสินใจ ไม่ควรรับขันธ์เพราะแรงยุ เจ้าตำหนักสั่ง ถูกบีบบังคับ ไม่เต็มใจ เพราะเราเป็นคนพุทธย่อมบูชากราบไหว้พระพุทธองค์เป็นแรงใจอยู่แล้ว ส่วนกราบไหว้บูชาเทพ เป็นศรัทธาส่วนตัว เชื่อมั่น ไม่สงสัย เพื่อเป็นขวัญ กำลังใจเป็นโชคลาภครับ หากปฏิบัติสายเทพภายใต้ความเกรงกลัวจะได้ประโยชน์อันใดครับ

 ******************************


sent: friday, july 20, 2012 6:25 pm
to:
subject: กราบสวัสดีท่านอาจารย์หมอยาน่ะครับ

กระผมนายนิสา กองบุญมา ติดตามเวปอาจารย์มาตลอดครับได้ความรู้เพิ่มขีึ้นเยอะเลยน่ะครับ
บางเรื่องที่อยากรู้ก็ได้รู้ บางเป็นเรื่องที่ไม่รู้ก็ได้รู้ อาจารย์เก่งน่ะครับสุดยอดเลย
นับถือมากๆๆน่ะครับ. ถ้าเราเดินสายเทพเราจำเป็นจะต้องทรงหรือเปล่าครับ บางท่านก็ไม่ได้ทรงแต่ช่วยเหลือคนอื่นได้. แล้วแต่ญาณในท่านจะสั่งหรือครับ
ขอให้อาจารย์หมอยามีแต่ความสุข (ผมมิได้มาลองของน่ะครับ)
ขออารธนาองค์พ่อ องค์แม่ องค์บรมครู จงปกปักษาท่านอาจารย์หมอยาให้มีแต่ความสุขขอบุญบารมีท่านเพิ่มขี้นน่ะครับ

ตอบ อนุโมทนาครับ มีคำกล่าวว่า คนทำฤาจะสู้ฟ้าลิขิตครับ เรื่องการมีองค์เทพ ได้มีการจำแนกหมวดหมู่ออกไปแบบคร่าวๆตามที่มีในเวบ แล้วอานุภาพของดวงดาวหรือที่ภาษาโหราศาสตร์กล่าวว่า ส่องแสงถึง ยังเป็นตัวขับและตัวแปรด้วยครับ  ในลักษณะที่ช่วยเหลือผู้คน ไม่มีคำว่าไม่ทรง เรียกว่าขณะนั้นๆ ท่านนั้นได้กำลังสื่อกับเบื้องบนครับ เพราะถ้าไม่มีครูอาจารย์คอยกำกับจะไม่สามารถทำการใดได้เลยครับ


# 9
By หมอยา
On 2013-05-27 12:29:32

ความ ตั้งใจในการเขียน ผู้เรียบเรียงต้องการสื่อถึงข้อธรรมและความเข้าใจเมื่อได้อ่านพุทธธรรมว่า มีความคิดเห็นเป็นเช่นไร เขียนไปตามความเข้าใจซึ่งอาจขัดแย้งความคิดเห็นของท่านก็ขอได้โปรดอภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ.... หมอยา

ฤทธิ์-ปาฏิหาริย์-เทวดาแลเทพเทวา สรุปความในพุทธศาสนา ไม่สนใจว่า ฤทธิ์-ปาฏิหาริย์-เทวดาแลเทพเทวา มี อยู่จริงหรือไม่ เพราะเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่ในโลกของเราปัจจุบัน จะพอทราบว่า ในอากาศมีทั้งคลื่นวิทยุ คลื่นของสัญญาณทีวีและในโลกของอินเตอร์เน็ต หรือสัญญาณโทรศัพท์มือถือ ซึ่งสามารถสื่อสารได้ หากเรื่องเหล่านี้ได้นำกลับไปบอกกล่าวแก่บุคคลซึ่งย้อนเวลาไปหลายร้อยปี คงต้องถูกหาว่า สติไม่สมประกอบเป็นแน่แท้ครับ ในหลักของพระพุทธศาสนา สนใจว่า ในกรณีที่มีอยู่จริงเราควรปฏิบัติและมีท่าทีอย่างไรเป็นคุณสมบัติเบื้องต้นมากกว่า จะแบ่งกลุ่มคนได้เป็น ๒ กลุ่มคือ เชื่อ กับไม่เชื่อว่ามีสิ่ง เหล่านี้มีคุณสมบัติพิเศษคือเป็นของที่ผลุบๆโผล่ๆหรือลับๆล่อๆ ทำให้ผู้ที่ประสบด้วยตนเองเข้าใจและเชื่อมั่น แต่กับคนบางคนกลับไม่สามารถพบเจอ สำหรับการมีอยู่จริงของเทพเทวาในหลักพระพุทธศาสนาถือ ว่า ไม่ขัดแย้งในทางปฏิบัติ ไม่กระทบต่อหลักการของพระพุทธศาสนา แม้ว่าเทพเทวา-ปาฏิหาริย์ มีอยู่จริง การปฏิบัติหลักธรรมและเข้าถึงพระศาสนาสามารถทำได้เช่นกัน

 อิทธิปาฏิหาริย์....เป็น อภิญญา คือความรู้ความสามารถพิเศษมีชื่อเฉพาะว่า อิทธิวิชา(อิทธิวิธิ)สามารถแสดงฤทธิ์ต่างๆเป็น โลกียอภิญญา จะพัวพันอยู่กับโลกมนุษย์เป็นวิสัยปุถุชนย่อมมีกิเลสปะปนครับ เช่น หูทิพย์ ตาทิพย์ การอ่านใจผู้อื่น การดูอดีต การดูอนาคต สิ่งเหล่านี้เกิดมาก่อนพุทธกาล ไม่เกี่ยวกับพุทธศาสนา ในทางพระพุทธศาสนา มีญาณอันสูงส่งเรียกว่า อาสวักขยญาณ คือ อภิญญาในระดับโลกุตระ ทำให้จิตใจเป็นอิสระและทำให้ดับกิเลสดับทุกข์ได้ ซึ่ง นับว่าเป็นธรรมอันสูงสุดก็ว่าได้ครับ แต่ในความเป็นจริง การเรียนรู้ควรทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปเรียกว่า ก้าวไปทีละขั้น ซึ่งบางท่านที่มีบุญบารมี ก็สามารถจะได้ทั้ง โลกุตรอภิญญา โดยได้ โลกียอภิญญาไปพร้อมกัน

อิทธิปาฏิหาริย์ แบ่งเป็น ๓ ประการดังนี้

๑. อิทธิปาฏิหาริย์ คือ การแสดงฤทธิ์ต่างๆ

๒. อาเทศนาปาฏิหาริย์ คือ การทายใจคนอื่นๆได้

๓. อนุสาสนีปาฏิหาริย์ คือ คำสอนที่เป็นจริงและนำไปปฏิบัติแล้วได้ผล

เทวดา คือ ผู้ ที่มีคุณธรรมสูง กว่ามนุษย์มากนับว่าเหนือกว่าถึง ๓ ประการ คือ อายุทิพย์ กายทิพย์ อิ่มทิพย์(สุขทิพย์) แต่ก็ยังนับว่ามีกิเลสอยู่บ้าง จึงยังไม่หลุดพ้นคำว่า

"วัฏฏสงสาร" ในความคิดคำนึงของมนุษย์เมื่อมีการตายเกิดขึ้น มักให้พรกันว่า "จงไปสู่สุคติเถอะ"คือหมายให้ไปเกิดเป็นเทวดานั่นเอง แต่ในทางกลับกัน เทวดาเองก็อยากกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ด้วยเหตุ ๓ ประการคือ

๑ . ความกล้าหาญ

๒ . ความมีสติ

๓ . การสามารถถือพรหมจรรย์ หากสามารถใช้ ๓ สิ่งที่มนุษย์มีประกอบคุณความดีแลปฏิบัติธรรมจะได้อานิสงน์ในกรรมดีที่ทำนั้นมากมาย

เพราะโลกมนุษย์มีคุณสมบัติพิเศษคือ เป็นแหล่งที่รวม คนดี คนเลว ผู้มีธรรมอันสูงส่ง เป็นสถานที่ๆผู้ที่ได้เกิดมาบนโลกสามารถเลือกที่จะกอบกรรมดีหรือชั่วโดย อิสระ ต่างจากนรกหรือสวรรค์ซึ่งแยกคนดี-เลวไว้ชัดเจน

มนุษย์พยายามสร้างสัมพันธ์กับเทวดาเทพเทวาต่างๆโดยสามารถจำแนกออกได้เป็น ๒ วิธี ดังนี้

ประการ ๑ . โดยวิธีการอ้อนวอน เช่น การบวงสรวง เซ่นสังเวย การบูชา

ประการ ๒ . โดยการบังคับด้วยการบำเพ็ญพรต เช่น การทรมานร่างกายตนเอง

 

สรุปข้อปฏิบัติตนของผู้มีองค์เทพ

ข้อ ๑ . เมื่อ ปฏิบัติบูชาด้วยความมีศรัทธา เชื่อมั่น แลไม่สงสัย เป็นการต้องการบูชาด้วยใจบริสุทธิ์ เมื่อได้โลกียญาณ อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ให้เน้นไปในทางช่วยเหลือผู้คน ใช้อิทธิฤทธิ์ที่ได้ไปในทางประกอบคุณความดี

ข้อ ๒ . เมื่อ ทราบว่าอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์มีจริง ก็เป็นกำลังใจให้อยากประพฤติปฏิบัติธรรมในเวลาต่อมาครับ เช่นเข้าวัดทำบุญ ศึกษาพระธรรมไปด้วยเป็นการขัดเกลาจิตใจครับ

ข้อ ๓ . รู้จักการปล่อยวางจิตใจ ให้สบายไม่ยึดติด อย่ากลัวที่จะสูญเสียอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์เพราะหากท่านมั่นคง สิ่งเหล่านี้ก็จะคงอยู่กับท่านแล จัดเป็นการเข้าถึงพุทธศาสนาประการหนึ่งครับ

sent: monday, october 26, 2009 8:39 pm to: subject: re: รบกวนตรวจองค์เทพค่ะ สวัสดีค่ะ หมอยา หนูชื่อสวรรยา หนูเคยตรวจองค์เทพกับหมอยาไปแล้วขอบคุณมากค่ะ หมอยาช่วยตอบหนูถือว่าเอาบุญนะคะ ทำไมในหลายเว็ปไซ้ถึงได้โจมตีคนที่เป็นร่างทรงองค์เทพบางเวปพูดอาการ ลักษณะท่าทางได้ถูกต้องเวลามีองค์เทพมาประทับหาว่าเป็นวิญญาณสัมภเวสีบ้าง จนบางครั้งหนูกลัววิตกจริตไปเลยว่าตัวเรานี่จะเป็นอย่างที่เขาพูดหรือเปล่า ขอบคุณค่ะ
ตอบ อนุโมทนาครับ เป็นคำถามที่ดีมากๆครับ.......... เพราะเรื่องร่างทรงนั้นละเอียดอ่อนครับ........... ที่ถูกโจมตีจะพุ่งประเด็นไปที่ร่างทรงที่เปิดตำหนัก
ครับ.... เนื่องจากบรรดาร่างทรงที่เปิดตำหนักอาจ มีการทำผิดเจตนาสวรรค์โดยลืมสัจจะวาจาที่ให้ไว้ว่า จะช่วยคนกลับเรียกร้องและต้องการไข่วคว้าให้
มีลูกศิษย์มากๆ ลืมปณิธานที่ลั่นวาจาว่า จะช่วยคนกลับกลายเป็นการขอให้ศิษยานุศิษย์ มาช่วยกัน บริจาคเพื่อสร้างตำหนักของตนให้ยิ่งใหญ่ (ขนาดตัวเองยังเอาตัวไม่รอดแล้วจะไปช่วยใครได้ครับ) หากตำหนักใดมิได้เป็นเช่นที่กล่าวมา.. หมอยาก็ขอกล่าวอนุโมทนาครับ..  หากเป็นการล่วงเกินในความคิดของท่าน.. หมอยาก็ขอกราบขอขมาต่อท่านไว้ ณ ที่นี้เป็นสำคัญครับ
หรือหลงในฤทธิ์บารมีจนทำให้องค์เทพท่านถอย กลับกลายเป็นสัมภเวสีมาสิงสู่แทน การประทับทรงไม่ชัดเจน จนเกิดอกุศลแก่บรรดาศิษย์ที่เข้าหา.... ยังผลให้การประสิทธิ์ขันธ์ครูกลายเป็นขันธ์ผีในที่สุด โดยที่ตัวเจ้าตำหนักก็ไม่รู้ตัวเองครับ.......... อย่างว่าละครับ สิ่งที่กล่าวมา เป็นกันได้ทุกคนละครับ ...ไม่ว่าคนๆนั้นจะถือเพศนักบวช ฆราวาส จะดีหรือชั่วอยู่ที่คนทำครับ เพราะโลกมนุษย์นี้เป็นศูนย์รวมของคนทุกประเภท แต่การเลือกประกอบกรรมดี-ชั่ว ท่านสามารถเลือกเองได้ครับ........ ดังนั้นควรแยกแยะครับ...ว่าท่านมาเดินสายเทพ ด้วยเหตุผลใด หากเพื่อศรัทธา และตัวเองมีทุกข์เมื่อได้บูชาท่านแล้วมีจิตใจสบาย คลายทุกข์ ชีวิตที่เป็นทุกข์ได้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น..... ท่านก็จงเดินสายเทพต่อไปครับ...ตัวท่านเองใยต้องไปเชื่อคนอื่น...จงเคารพในการตัดสินใจของตัวเอง ....อยู่ในโลกนี้ไม่มีใครพ้นคำนินทาครับ หากสิ่งที่ท่านทำอยู่มิได้เบียดเบียนผู้ใด ก็คงไม่เสียหายอะไรครับ

 


# 8
By หมอยา
On 2013-05-27 11:32:28

กระแสกรรมจะเกิดขึ้นโดยหลักสามประการ
๑. มโนกรรม ความตั้งใจที่จะทำ
๒. วจีกรรม   การแสดงออกทางวาจา
๓. กายกรรม แสดงออกทางการกระทำ

กรรมตามหลักพระพุทธศานาได้แบ่งไว้เป็นสองประการหลักคือ
๑. การก่อกรรมโดยมีเจตนา
๒. กรรมที่ก่อขึ้นโดยไม่มีเจตนา
สำหรับกรรมที่เกิดขึ้นจะเจตนาหรือไม่ก็ตามได้จำแนนออกเป็นลักษณะดังนี้
๑. กรรมนิมิตร คือกรรมที่ก่อขึ้นในภพปัจจุบัน และได้รับผลกรรมนั้นๆนั้นทันที
๒. อุปปัทเฉทกรรม คือกรรมอันเกิดจากตั้งครรภ์ ภายในเวลาต่อมามีเหตุเช่นครรภ์เป็นพิษเด็กแท้งออกมาเองเป็นต้น และได้รับผลกรรมนั้นๆนั้นทันที
๓. อัปปราประเวทินิยกรรม คือการก่อกรรมโดยมีเจตนา กรรมที่ก่อขึ้นโดยไม่มีเจตนา และได้รับผลแห่งกรรมนั้นๆในภพต่อๆไป ไม่เห็นผลกรรมในภพปัจจุบัน
๔. กตักกะตากรรม คือกรรมที่ก่อขึ้นโดยไม่มีเจตนา และสามารถตอบแทนด้วยกรรมดีลบล้างไม่ให้ผลกรรมนั้นตามมาให้ผลต่อไป
๕. อนันตริยกรรมกรรม คือกรรม ๔ ประเภทที่ไม่สามารถลบล้างได้ คือ ปิตุฆาต มาตุฆาต อรหันตฆาต โลหิตบาท สังฆเภท
๖. อโหสิกรรม คือผู้ปฏิบัติกรรมนี้ เวรย่อมระงับไป
๗. อุปปิฬกกรรมคือคนที่ประพฤติทั้งกรรมดี-ชั่วสลับกันไป
๘. ทิษฐกรรมเวทนียกรรม คือกรรมที่ส่งผลในภพปัจจุบัน
๙. อุปัชชเวทนียกรรม คือกรรมที่ส่งผลในภพหน้า
๑๐.อุปัตถัมภกรรม คือกรรมที่ก่อแล้วส่งให้ก่อกรรมหนักขึ้นเรื่อยๆ เช่นค้ายาบ้า
๑๑. อาจินกรรม(พหุลกรรม) คือกรรมที่ต่อเนื่อง เช่นฆ่าไก่ ฆ่าหมู
๑๒. อาสันนกรรม คือ กรรมที่เห็นผลตอนใกล้ตาย
๑๓. ชนกกรรม คือกรรมที่ส่งผลให้ภพหน้ามีความสุข งดงาม ผิวพรรณดี


# 7
By หมอยา
On 2013-05-27 12:26:58

         นอกจากอันตรายที่ทำลายสมาธิ ๑๐ ประการที่ได้เขียนไปแล้ว การฝึกจิตให้เป็นสมาธิ อาจารย์ได้อ่านในหนังสือเขียนไว้น่าสนใจ พบว่า จะต้องมีปัจจัย ๕ ประการด้วยกัน ดังนี้ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา การฝึกสมาธิ แบ่งความสำเร็จออกเป็นสามคือ ชั้นอ่อน ชั้นกลาง ชั้นสูง ครับ และในขณะฝึกสมาธิ ท่านควรตั้งอยู่ในพรหมวิหารสี่ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เสมอครับ
        อาจารย์พบว่า การฝึกสมาธิมีความซับซ้อน และขั้นตอนชี้แจงรายละเอียดไว้มากมาย ดังนั้นที่กล่าวไว้ในบทความนี้เพียงเพื่อความเข้าใจพอสังเขป สำหรับผู้มุ่งหวังทำสมาธิ อาจารย์มีประสงค์ให้เพื่อผลทางจิตใจสงบ ไม่หวั่นไหว มีกำลังใจดำเนินชีวิตประกอบสัมมาอาชีพถูกต้อง ไม่ก่อความเดือดร้อนหรือเบียดเบียนผู้อื่น สามารถสื่อหรือสัมผัสต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพเทวาครูอาจารย์ เข้าใจว่า บาป-บุญ เทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง ต่อไปการประพฤติ ปฏิบัติจะได้ไม่มีข้อสงสัยและตั้งมั่นอยู่ในความไม่ประมาทครับ
      การประกอบกิจใดๆเช่น การทำมาหาเลี้ยงชีพ การบูชาเทพเทวา คงต้องยึดหลักอิทธิบาทสี่ คือ
๑. ฉันทะ  คือความสนใจ ศรัทธา เชื่อมั่น ไม่สงสัย
๒. วิริยะ   คือ ความพากเพียร ใส่ใจ บางท่านบูชาเทพนานวันไปไม่เคยดูแล เรียกว่าไม่สม่ำเสมอ
๓. จิตตะ  คือ ความมั่นคง ไม่หวั่นไหว หลายครู หลานตำหนัก
๔. วิมังสา คือ การพัฒนาการต่างๆ ในด้านความรู้ บารมี เป็นต้น


# 6
By หมอยา
On 2013-05-26 08:22:19

การฝึกสมาธิจิตตามหลักโยคศาสตร์ของพราหมณ์โบราณ ผู้ปฏิบัติจะต้องแบ่งวางที่ตั้งของจิตเป็น ๑๐ ขั้นดังนี้
ฐานที่  ๑  . กำหนดที่ตั้งจิตตรงสะดือ ทำใจให้ว่าง พิจารณาให้เห็นเหตุเกิดทุกข์
ฐานที  ๒  . กำหนดที่ตั้งของจิตเหนือสะดือขึ้นมา ๒ นิ้ว พิจารณาให้เห็นกองทุกข์
ฐานที่  ๓  . กำหนดที่ตั้งของจิต
เหนือสะดือขึ้นมา ๔ นิ้พิจารณาให้รู้เหตุที่เกิดอกุศลจิตแล้วดับเสียซึ่งเหตุ และสร้างกุศลจิตขึ้นมาแทน

ฐานที่  ๔  . กำหนดที่ตั้งของจิตกลางทรวงอกเพื่อละอกุศลจิตให้หมดไปแล้วพยายามทำจิตใจให้ผ่องใสบริสุทธฺ์เป็นกุศลธรรม
ฐานที่  ๕  . กำหนดที่ตั้งของจิตที่ขั้วปอดและหลอดลม กำหนดจิตให้รู้ความหลับตื่น ให้รู้อวิชาและวิชาคืออะไร
ฐานที่  ๖  . กำหนดที่ตั้งของจิตที่ปลายจมูกและกำหนดจิตให้รู้ถึงการเกิดดับของสังขารธรรม
ฐานที่  ๗ .  กำหนดที่ตั้งจิตระหว่างหัวคิ้วและจนเกิดเป็นอำนาจทิพย์จักษุ
ฐานที่  ๘ .  กำหนดที่ตั้งจิตกลางหน้าผากจะเกิดนิคมปัญญาพิจารณษให้รู้ถึงการเกิดดับของธรรมชาติ ของสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวง
ฐานที่  ๙ .  กำหนดที่ตั้งของจิตกลางกระหม่อม จนเกิดอาคมปัญญาพิจารณาให้รู้สภาวธรรมของรูปและนามจนนำพาให้เกิดปัญญา
ฐานที่ ๑๐ . กำหนดที่ตั้งจิตเหนือท้ายทอย จนบังเกิดเป็นนิโรธสมาบัติ พิจารณาสภาวของรูปธรรม นามธรรม การละลายสภาวรูปธรรม นามธรรม

อาจารย์หมอยาเห็นว่า ฐานทั้งสิบเขียนไว้อย่างละเอียดน่าสนใจ ทั้งยังซ่อนปมปริศนาไว้ จึงนำมาลงไว้พอสังเขป และจะได้กล่าวถึงอันตรายที่ทำลายสมาธิจิตไว้ดังนี้
๑. การเจ็บไข้ทั้งหลาย
๒. การขาดความว่องไว (ไหวพริบ)
๓. ความสงสัยลังเล ขาดศรัทธา เชื่อมั่น ไม่สงสัย
๔. ความประมาท (ถือดี อวดดี)
๕. ความเกียจคร้าน
๖. การกำหนดลมหายใจไม่ถูกต้อง
๗. ความหลงผิด
๘. การฝึกด้วยความใจร้อน ข้ามขั้นตอนต่างๆ
๙. การมีจิตใจที่มั่นคง
๑๐.อยู่ในช่วงที่มีความทุกข์ต่างๆเช่น (เป็นหนี้สิน เป็นคดีความ เสียญาติคนรัก)


# 5
By หมอยา
On 2013-05-25 20:10:37

   วิญาณศาสตร์ spiritualism การถ่ายทอดและเปลี่ยนแปลงวิญญาณ metem psychosis ตามหลักพระพุทธศาสนา ว่าไว้ดังนี้  การสืบต่อชาติภพต่างๆของมนุษย์หรือสัตว์ อวิชาเป็นต้นเหตุแห่งตัณหา ตัณหาเป็นต้นเหตุให้เกิด อุปาทาน อุปาทานเป็นต้นเหตุให้สร้างกรรม วนเวียนไปเช่นนี้ทุกภพทุกชาติ ได้มีการแบ่งวิญญาณของมนุษย์ออกเป็นสอง(อภิธรรมคหะฉบับพิศดาร)
๑. วิญญาณธาตุ(ปฏิสนธิวิญาณ)
๒. วิญญาณขันธ์ (จิต หรือ อายตนะ)
ได้กล่าวไว้ว่า หากวิญญาณไม่ก้าวสู่ครรภ์มารดา นามรูปจักเกิดไม่ได้ ในความเชื่อของพราหมณ์ ถือว่า วิญญาณเป็นอมตะ เป็นอัตตา  แต่ในทางพุทธ
องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสามารถหยั่งรู้ด้วย โลกุตระปัญญา (super mudane intellect) ว่าทุกสิ่งอย่างในโลกล้วนเป็น อนัตตา ทั้งสิ้น พระพุทธองค์ทรงเข้าใจความจริง ความเป็นไปของชีวิตขั้นสูงสุด (ความจริงชั้น ปรมัตหรือวิมุติสัจ) และในท้ายที่สุดพระพุทธองค์ทรงค้นพบ กฏธรรมชาติของการทำให้การหมุนเวียน ถ่ายถอดของวิญญาณสิ้นสุดลงโดยเด็ดขาด(law of cessation of metempsychosis)เรียกว่า อาสวักขญาณ
    ในมหาสีหนาทสูตรได้กล่าวถึงลักษณะการเกิดของมนุษย์และสัตว์ต่างๆออกเป็น ๔ ภพดังนี้
๑. ชลาพุชะ   คือการเกิดในมดลูก ในครรภ์มารดา
๒. อัณทชะ   คือการเกิดในฟองไข่
๓. สังเสทชะ คือการเกิดในโคลนตม สิ่งโสโครก เช่นเชื้อโรคต่างๆ
๔. โอปาติกะ คือเกิดโดยไม่มีบิดามารดา เป็นไปโดยแรงกรรม หรือกฏแห่งกรรม เช่น เทพ พรหม สัมภเวสี วิญญาณเร่ร่อน  อสุรกาย สัตว์นรกต่างๆ
     ภพของวิญญาณโอปาติกะแบ่งออกเป็นดังนี้

วิญญาณชั้นพรหม   ชั้น อกนิษฐพรหม เกิดโดยการลอยไปเกิด
วิญญาณชั้นสูงสุด อันดับ ๑ ชั้นพรหม มีดังนี้ เกิดโดยการลอยไปเกิด
     ๑. อรูปพรหม         มี ๔ ชั้น
     ๒. ปัญจมญาณ      มี  ๓ ชั้น
     ๓. จตุถญาณ         มี ๓ ชั้น
     ๔. ตติยญาณ        มี ๓ ชั้น
     ๕. ทุติญาณ         มี ๓ ชั้น
     ๖. ปฐมญาณ        มี ๓ ชั้น
วิญญาณชั้นสูง อันดับ ๒ ชั้นเทพ เกิดโดยการลอยไปเกิด
     ปรมิตสวัสดี
     นิมานนรดี
     ดุสิตา
     ยามา
     ดาวดึงษา
     จตุมหาราชิกา
วิญญาณชั้นกลาง วิญญาณมนษย์เกิดโดยการผสมพันธ์ (ชลาพุชะ)
วิญญาณชั้นต่ำ เกิดโดยลอยไปเกิด สัมภเวสี
                  เกิดโดยการผสมพันธ์ (ชลาพุชะ) วิญญาณสัตว์โลก
                  เกิดโดยลอยไปเกิด วิญญาณอสูรกาย  เวปจิตติ ปังสุ กาละกัญญิกา เปรต
วิญญาณชั้นต่ำสุด เกิดโดยลอยไปเกิด สัตว์นรกต่างๆ


# 4
By หมอยา
On 2013-05-27 08:48:06

ศาสนาพุทธในประเทศไทย เป็นฝ่ายเถรวาท ส่วนศาสนาพุทธในธิเบตได้ผสมผสานศาสนาพราหมณ์เข้าด้วยกัน ได้มีการนำเอาพรหมหรือเทวดาบางองค์ที่มีฤทธิ์มากตั้งเป็นพระโพธิสัตว์ ปรมาจารย์ผู้สร้างพระไตรปิฏกทางศาสนาพุทธให้ประเทศธิเบต มีสองท่านคือ องค์คุรุปัทมะภพและองค์นาครชุน ทั้งสองท่านนี้นับถือศาสนาพราหมณ์มาก่อน เดิมอาศัยอยู่ทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย ในกาลต่อมาได้ไปอาศัยอยู่ในธิเบต สืบต่อมามีความเลื่อมใสศาสนาพุทธ จึงได้นำหลักของศาสนาทั้งสองผสมผสานเข้าด้วยกัน เรียกขานกันทางตอนเหนือของประเทศอินเดียว่า พุทธศาสนาวัชรญาณ ครับ จุดมุ่งหมายในปลายทางในการปฏิบัติแตกต่างกับศาสนาพุทธในประเทศไทย ทางวัชรญาณ มุ่งไปที่สวรรค์ชั้นสูง ส่วนทางไทยมุ่งไปสู่การนิพพานครับ
  พุทธศาสนาวัชรญาณ (มหาญาณ)
                           เวลาช่วง ๙.๐๐ -๑๒.๐๐ น มุ่งเน้นทางหลักศาสนากับครูอาจารย์
                           เวลาช่วง ๑๔.๐๐ --น. เน้นทางประทับทรง รักษาคน พยากรณ์ ทำเครื่องลางของขลัง (โลกียยาน)
  พุทธศาสนาในไทย (เถรวาทหรือ หินยาน) 
                           เวลา ๖.๓๐-๘.๐๐ น. บิณฑบาตร ฉันภัตตาหารเช้า
                           เวลา ๙.๐๐--น. รับกิจนิมนต์ต่างๆ
                           เวลา ๑๑.๐๐-น. ฉันเพล
                           เวลา ๑๓.๐๐ น. จำวัตร หรือศึกษาพระธรรม วิปัสนากรรมฐาน (วิปัสนาญาณ)
จะเห็นว่า ไม่มีกิจเรื่องดูดวง วัตถุมงคล หรือการยกขันธ์ กล่าวในกิจของสงฆ์สายเถรวาทแต่อย่างใด
หากใช้ผสมกันเมื่อใด ก็คงเสมือนเป็นทั้ง ลามะและพระสงฆ์ ในกายแห่งตนครับ....
   แต่ในกาลต่อมาจนถึงปัจจุบัน จะพบว่ามีวัตถุมงคลต่างๆออกให้บูชา ด้วยมีเจตนารมณ์ในเชิงบุญ ให้ เป็นที่ยึดเหนี่ยว ในฝ่ายเถรวาท แต่หากไม่ทิ้งแนวทางแห่งวิปัสนากรรมฐาน ผลแห่งการนิพพาน จึงพบว่า การผสมผสานโดยไม่ทิ้งจุดยืน เป็นที่ยอมรับครับ ดังนั้นท่านผู้อ่านพึงพิจารณาเอาครับ ว่าท่านจะเลือกวางแนวทางของศรัทธา เชื่อมั่น ไม่สงสัย อย่างไร การอ่าน ศึกษา และเปิดใจให้กว้างเป็นแนวทางแห่งปัญญาโดยแท้ครับ สาธุการ


# 3
By หมอยา
On 2013-05-23 17:18:28

        ศาสนาพรหมณ์หรือลัทธิพรหมณ์มีมาก่อนพุทธกาล และได้เจริญสูงสุดในสมัยพระพุทธเจ้าองค์ที่สาม นามว่า พระทีปังกาโร (พระทีปังกร) ส่วนพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันทรงพระนามว่า พระสมณโคดม เป็นพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ในลำดับที่ ๒๗ วิชาที่พราหมณ์ใช้ ส่วนหนึ่งเรียกว่า อวิชา หรือไสยเวทย์ และเครื่องรางของขลัง  ซึ่งสามารถใช้ทำร้ายผู้อื่นได้หรือให้คุณผู้อื่นได้ ในเวลาเดียวกัน
        ในอดีต เมื่อยังไม่มีพุทธศาสนา คือนับแต่สิ้นพระพุทธเจ้าองค์ที่สาม พราหมณ์ โยคี ดาบส กลับมีอำนาจมากมาย เกิดการแย่งชิงอำนาจในระหว่างกลุ่มชนหรือประเทศต่างๆ พราหมณ์ โยคีหรือดาบส นักพรตต่างๆ ได้ครองอำนาจบางคนเป็นปุโรหิต ผู้นำด้านอาคมบ้าง ต่างได้จัดทำของขลัง วัตถุอาถรรพ์ ตะกรุด มีดหมอ เพื่อปลุกขวัญกำลังใจเหล่าทหารๆ ได้นำติดตัวออกรบในสงครามจนได้ชัยชนะ ต่างพากันประจุอาคมลงในวัตถุดังกล่าว จนเป็นที่กล่าวขวัญยอมรับ
     จนเกิดการประกอบพิธีกรรมต่างๆเช่น ศาลหลักเมือง พิธีวางศิลาฤกษ์ ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองตลอดจนทำวัตถุมงคลออกแจกจ่ายให้ประชาชน เหล่าทหาร เพื่อให้เกิดกำลังใจ และรวมเป็นหนึ่งเดียวกันของวัฒนธรรม
     เครื่องลางของขลังมีผล ป้องกันภัยหรืออย่างไรดังนี้ครับ
๑. ด้านคงกระพันชาตรี ยิงฟันไม่เข้า ส่วนมากจะเกิดผลต่อหน้าครูอาจารย์เพราะ ผลทางความศรัทธา เชื่อมั่น ไม่สงสัยครับ หากไกลหรือลับหลังครูมักไม่ได้ผลดีเท่าที่ควรครับ เช่นเมื่อสักยันต์เสร็จใช้มีดฟัน หรือเชือดคอเป็นต้น ส่วนเรื่องกระสุนปืน หากถูกลอบยิง นัดแรกๆมักด้านครับ หากผู้ถูกยิงรู้ตัวแล้วหันหลังกลับไปดู นัดต่อไปมักโดนเสมอครับ
๒. เรื่องทางด้านแคล้วคลาดจากอุบัติภัยต่างๆ
๓. เรื่องทางด้านเมตตามหานิยม

๔. ความเป็นมหาอุตม์ มีผลมาจากข้อหนึ่งแต่มากกว่าเรื่องฤทธิ์ มาจากเครื่องลางนั้นๆได้จัดทำขึ้นด้วยศาสตร์ลึกลับ จากพวกโยคี จอมขมังเวทย์ต่างๆ ซึ่งจัดทำขึ้นด้วยหลักวิชาต่างๆดังนี้
ก. การผสมธาตุต่างๆ (มวลสาร) ซึ่งต้องจัดหามาโดยสามารถรับถึงพลังงานต่างๆได้ โดยใช้ลมปราณเป็นสื่อในการจัดทำ  (pranic energy ) สำหรับ ผู้ประกอบพิธี หากเป็นผู้ที่ได้กำเนิดในฤกษ์ที่เหมาะสม ได้บำเพ็ญตนในทางพิธีย่อมให้ผลดีมากครับ
ข. การใช้พลังของกระแสจิต การนั่งปรกเพื่อรวบรวมพลังงานบรรจุลงในวัตถุต่างๆ ผู้ประกอบพิธี หากเป็นผู้ที่ได้กำเนิดในฤกษ์ที่เหมาะสม ได้บำเพ็ญตนในทางพิธีย่อมให้ผลดีมากครับ

ค. การใช้พลังลมปราณ (pranic energy ) เพื่อรวบรวมพลังงานบรรจุลงในวัตถุต่างๆ ผู้ประกอบพิธี หากเป็นผู้ที่ได้กำเนิดในฤกษ์ที่เหมาะสม ได้บำเพ็ญตนในทางพิธีย่อมให้ผลดีมากครับ โดยสายญาณของลมปราณแบ่งออกเป็น๖ สายญาณด้วยกัน
ง.การตั้งธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ในวิชาไสย์เวทย์
จ. การบรรจุด้วยวิธี สัก เสก เลข ยันต์ คาถา ทิพย์มนต์
ฉ. การใช้วิชาลึกลับบรรจุลง วิชาอิลละมู วิชาเรยูกูระบัด ผสมเข้าด้วยกันทั้งสอง

สำหรับผู้ที่นำไปใช้หรือพกพาติดตัว วัตถุอาถรรพ์เหล่านี้จะส่งพลังงานออกมาเมื่อได้รับการกระตุ้นด้วยสารอะดรีนาลีนเพราะ ฮอร์โมนตัวนี้จะทำให้ปริมาณน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น คือจะเปลี่ยน glycogen เป็น gluclose เป็นผลให้กล้ามเนื้อมีแรงมหาศาลครับ เหล่านี้จะก่อให้เกิดแรงกระตุ้น(stumulator) ทำให้จิตเกิดพลังมหาศาลเหนือสภาวะจิตสามัญหลายร้อยเท่า ดังจะเห็นเช่นคนลงหนุมานสามารถปีนเสาไฟได้อย่างรวดเร็วเป็นต้น บางท่านลงทรงสามารถใช้เข็มแทงตามร่างกาย
คำแนะนำสำหรับท่านที่สวมวัตถุมงคลหรืออื่นๆ ให้กล่าวคำอาราธนา
พุทธังอาราธนานังโลเกมิ  ธัมมังอาราธนานัง โลเกมิ สังฆังอาราธนานัง โลเกมิ
เพื่อให้จิตของท่านตั้งมั่น ไม่ประพฤติกรรมชั่ว มุ่งแต่กรรมดี มีจิตที่เบิกบานครับ


# 2
By หมอยา
On 2013-05-22 15:29:42

สำหรับการศึกษาข้อธรรมต่างๆ วิชาต่างๆ มีข้อหน้าสนใจหลักๆดังนี้
๑. การปฏิบัติจิตเข้าสู่ประตูพระนิพพาน ตามหลักวิปัสนากรรมฐาน the process of mind purification in buddhis meditation
๒. การรักษาโรคด้วยอำนาจจิต และตามหลักโยคศาสตร์
๓. พระธาตุและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ปาฏิหาริย์
๔. การกำเนิดของทวยเทพในศาสนาต่างๆ
๕. กำเนิดพระภูมิประจำบ้าน
๖. เรื่องยาสั่ง
๗. อิทธิวิธีและเดรัจฉานวิชา white and black magic
๘. อำนาจของคุณไสย์ต่างๆ the influence of the black magic
   ฤาษียึดการปฏิบัติ สันโดษ contentment ( การใช้เสรีภาพในขอบเขตจำกัดของแต่ละบุคคล) มิใช่หมายว่า ให้แยกตัวออกจากสังคมอย่างโดดเดี่ยว หากหันหลังให้สังคมแยกตัวโดดเดี่ยว หันหลังให้กับความจริง อาจหลงผิดทางจนเกิดโรคจิตวิปริตได้ครับ
************************


# 1
By หมอยา
On 2016-04-13 07:54:35

 

 

เรียบเรียงจาก อาจารย์.ว.จีนประดิษฐ์      หนังสือตำนานพระฤาษี 
                พ.ต.อ. ชลอ อุทกภาชน์    หนังสือแว่นส่องจักรวาล ไว้ณ ที่นี้ครับ

 อาจารย์หมอยา ได้นำมาเขียนตามความเข้าใจ เพื่อไว้ให้ท่านทั้งหลายได้อ่าน ผิดถูกอย่างไรก็เป็นบทความหนึ่งเท่านั้น อ่านไว้เพื่อเป็นแนวทางครับไม่จำต้องเชื่อหรือยึดถือ ให้รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหามครับ

พระฤาษี คนเราทั่วๆไปมักใช้เรียกขาน ผู้ที่ปฏิบัติตนสมถะ ผู้บำเพ็ญเพียร ด้วยจุดประสงค์ต่างๆเช่น ฤทธิ์ บารมี ความรู้แจ้งในบุญ-บาป ผู้ศึกษา ประพฤติ ปฏิบัติในวิชาการต่างๆ เช่น ว่านยา ไสย์เวทย์ จนจำแนกเป็นสี่ชั้นสำหรับความสำเร็จ คือ
๑ ฤาษี
๒ พรหมฤาษี
๓เทวฤาษี
๔มหาฤษี เป็นต้น

ลักษณะต่างๆของฤาษี สำหรับผู้ยึดแนวปฏิบัติจะได้ทราบว่าท่านเป็นฤาษีแบบใด

ฤาษี ผู้ปฏิบัติตน อยู่ในสถานที่ต่างๆ ที่สะอาด ใช้เวลาการปฏิบัติตนในเวลากลางวันเป็นส่วนมาก
โยคี ผู้ปฏิบัติตน ในศาสตร์ของการดัดตน ทรมานตน การบังคับการลุกนั่ง กินนอน
มุนี ปฏิบัติแบบพราหมณ์ เป็นผู้ทรงความรู้เน้นด้านการใช้ปัญญาในการปฏิบัติ
พระดาบส ผู้ปฏิบัติตนคล้ายๆ โยคี แต่มุ่งไปในทางถือเพศพรหมณ์จรรย์เพื่อความหลุดพ้นจากกิเลสทั้งหลาย
ชฏิล ทำตัวเหมือนพราหมณ์ เกล้ามวย แต่งกายมอมแมม มักอยู่ไกลในถิ่นทุรกันดาร ไม่ตัดผม ตัดเล็บ
นักสิทธิ์ เป็นผู้ปฏิบัติเป็นนักบวชและในขณะเดียวกันบูชาเทพเทวาไปพร้อมกัน เน้นสัจจะ ความเที่ยงธรรม ความว่างเปล่า ความบริสุทธิ์
นักพรต เป็นผู้ปฏิบัติและด้วยศีลอันบรืสุทธิ์ ดำรงไว้ด้วยความสมถะ มักอยู่ในสถานที่ห่างไกลและสงบร่มเย็น
พราหมณ์ เน้นบำเพ็ญปฏิบัติสร้างบารมี และช่วยเหลือผู้คนทั่วไป ไม่เก็บตัวตามสถานที่ห่างไกล จะคงอยู่ในเมือง
*****************************
นอกจากนี้ยังมีการเอ่ยถึงพระฤาษีที่เป็นตัวแทนของกลุ่มดาวฤกษ์ เรียกว่ากลุ่มดาวหางจรเข้ (ทศฤษี) เป็นรายนามดังนี้ครับ
๑. พระโคดม                   ๖. พระกศป
๒. พระภรัทวาช                ๗. พระอัตริ
๓. พระวิศวามิตร               ๘. พระปเจตัส (พระทักษะประชาบดี)
๔. พระชมทัศนี                ๙. พระภฤคุ
๕. พระวิสิษฐ์                  ๑๐. พระนารท
ทั้งสิบพระฤาษีนี้เป็นตัวแทนหรือมีต้นกำเนิดมาจากพระศิวะหรือพระอิศวรครับ
********************************

ฤาษีแบ่งออกเป็นสี่กลุ่มดังนี้ครับ เพื่อสะดวกในการกล่าวถึงหรือเอ่ยในการทำพิธีต่างๆ ว่าท่านมาจากสวรรค์ชั้นใด
๑. ฤาษีชั้นพรหมฤาษี เช่น ฤาษีพรหมมา ฤาษีพรหมมุนี ฤาษีพรหมนารถ ฤาษีพรหมวาสมิกิ
๒. ฤาษีชั้นเทพ เช่น ฤาษีบรมโกฏิ ฤาษีประลัยโกฏิ ฤาษีนารอท ฤาษีนารายณ์ ฤาษีนาเรศ ฤาษีอิศวร ฤาษีพิฆเนศ ฤาษีเพชรฉลูกัณท์ ฤาษีปัญญาสด ฤาษีตาไฟ ฤาษีหน้าวัว ฤาษีหน้าเนื้อ ฤาศีปัญจสิงขร ฤาษีประโคนธรรพ
๓. ฤาษีชั้นมนุษย์  เช่นฤาษีโกเมน ฤาษีโกเมท ฤาษีโกมุท ฤาษีสัตตบุตร ฤาษีสัตตบัน ฤาษีสัตบงกช ฤาษีโคบุตร ฤาษีโคดม ฤาษีสมมิตร ฤาษีลูกประคำ
๔. ฤาษีชั้นอสูร เช่น ฤาษีคีรีเนศ ฤาษีท้าวเวสสุวัณ ฤาษีท้าวหัสกัณท์ ฤาษีท้าวหิรัญสูร ฤาษีพิลาภ ฤาษีพิรอด ฤาษีท้าวพลี ฤาษีอนัตยักษ์ ฤาษีวาณุราช ฤาษีวาหุโลม
*******************************************


บทความแนะนำ

รวมบทความ

แปลภาษา
ติดตามข่าวสาร
ติดตามข่าวสารที่ทวิสเตอร์  Page Ranking Tool