นาค


 


     พญานาค หรือ นาค  เป็นนความเชื่อในภูมิภาคคเอเซียใต้และเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ มีลักษณะร่วมกัน คือ เป็นงูขนาดใหญ่มีหงอน เป็นสัญญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ ความมีวาสนา อีกทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ของบันไดสู่จักรวาลอีกด้วย ต้นกำเนิดความเชื่อเรื่องพญานาคน่าจะมาจากอินเดีย ด้วยมีปกรณัมหลายเรื่องเล่าถึงพญานาค โดยเฉพาะในมหากาพย์มหาภารตะ นาคถือเป็นปรปักษ์ของครุฑ

      ลักษณะของพญานาคตามความเชื่อในแต่ละภูมิภาคจะแตกต่างกันไป แต่พื้นฐานคือพญานาคนั้นมีลักษณะตัวเป็นงูตัวใหญ่มีหงอน สีทองและ ตาสีแดงกล็ดเหมือน ปลามีหลายสีแตกต่างกันไปตามบารมี บ้างก็มี สีเขียว บ้างก็มี สีดำ หรือบ้างก็มี 7 สี เหมือนสีของรุ้งและที่สำคัญคือนาคตระกูลธรรมดาจะมีเศียรเดียว แต่ตระกูลที่สูงขึ้นไปนั้นจะมีสามเศียร ห้าเศียร เจ็ดเศียรและเก้าเศียร นาคจำพวกนี้จะสืบเชื้อสายมาจาก พญาเศษนาคราช (อนันตนาคราช) ผู้เป็นบัลลังก์ของ พระวิษณุนารายณ์ปรมนาท ณ เกษียรสมุทร อนันตนาคราชนั้นเล่ากันว่ามีกายใหญ่โตมหึมามีความยาวไม่สิ้นสุด มีพันศีรษะ พญานาคนั้นมีทั้งเกิดในน้ำและบนบก เกิดจากครรภ์และจากไข่ มีอิทธิฤทธิ์สามารถบันดาลให้เกิดคุณและโทษได้ นาคนั้นมักจะแปลงร่างเป็นมนุษย์รูปร่างสวยงาม เชื่อกันว่าพญานาคอาศัยอยู่ใน แม่น้ำโขงหรือเมืองบาดาล และเชื่อกันว่าเคยมีคนเคยพบรอยพญานาคขึ้นมาใน วันออกพรรษาโดยจะมีลักษณะคล้ายรอยของงูขนาดใหญ่

นาคเป็นเจ้าแห่งงู แต่ไม่สามารถบรรลุธรรมได้ แต่ก็จัดอยู่ฝ่ายสุคติภูมิ อยู่ สวรรค์ชั้น จาตุมาหาราชิกา นาคแบ่ง ออกเป็น 4 ตระกูลใหญ่ คือ

  • ตระกูลวิรูปักษ์ พญานาคตระกูลสีทอง
  • ตระกูลเอราปถ พญานาคตระกูลสีเขียว
  • ตระกูลฉัพพยาปุตตะ พญานาคตระกูลสีรุ้ง
  • ตระกูลกัณหาโคตมะ พญานาคตระกูลสีดำ

พญานาคเกิดได้ทั้ง 4 แบบ คือ

  1. แบบโอปปาติกะ เกิดแล้วโตทันที
  2. แบบสังเสทชะ เกิดจากเหงื่อไคล สิ่งหมักหมม
  3. แบบชลาพุชะ เกิดจากครรภ์
  4. แบบอัณฑชะ เกิดจากฟองไข่

      พญานาคชั้นสูงเกิดแบบ โอปปาติกะเป็นชนชั้นปกครอง ที่อยู่ของพญานาคมีตั้งแต่ในแม่น้ำ หนอง คลอง บึงต่างๆ ในอากาศ จนไปถึงสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา พวกพญานาคอยู่ในการปกครองของ ท้าววิรุฬปักษ์ ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาด้านทิศตะวันตก เหตุที่มาเกิดเป็นพญานาคเพราะทำบุญเจือด้วย ราคะ

       ชาวฮินดูถือว่า นาคเป็นผู้ใกล้ชิดกับเทพองค์ต่างๆ เป็นเทพเจ้าแห่งน้ำ เช่น อนันตนาคราช ที่เป็นบัลลังก์ของพระนารายณ์ตรงกับความเชื่อของลัทธิพราหมณ์ที่เชื่อว่า นาค เป็นเทพแห่งน้ำ เช่นปีนี้ นาค ให้น้ำ 1 ตัว แปลว่า น้ำจะมาก  ถ้าปีไหน นาคให้น้ำ 7 ตัว น้ำจะน้อย ตัวเลขนาคให้น้ำจะกลับกันกับเหตุการณ์ เนื่องจาก ถ้านาคให้น้ำ 7 ตัว น้ำจะน้อยเพราะนาคกลืนน้ำไว้

        นาคมีคุณสมบัติพิเศษ คือ สามารถแปลงกายได้ มีอิทธิฤทธิ์และมีชีวิตใกล้กับคน สามารถแปลงเป็นคนได้ เช่นคราวที่แปลงเป็นคนมาขอบวชกับบพระพุทธเจ้า ในหนังสืออไตรภูมิพระร่วง กล่าวถึงนาคที่ชื่อ ถลชะ ที่แปลว่า เกิดบนบก จะเนรมิตกายได้เฉพาะบนบก และนาคชื่อ ชลซะ แปลว่า เกิดจากน้ำ จะเนรมิตกายได้เฉพาะในน้ำเท่านั้น

        นาค ถึงแม้จะเนรมิตกายเป็นอะไร แต่ในสภาวะ 5 จะต้องปรากฏรูปลักษณ์เป็นนาคเช่นเดิม คือ ขณะเกิด, ขณะลอกคราบ, ขณะสมสู่กันระหว่างนาคกับนาค ขณะนอนหลับโดยไม่มีสติ และตอนตาย ก็กลับเป็นงูใหญ่เหมือนเดิม

นาค มีพิษร้าย สามารถทำอันตรายผู้อื่นได้ด้วยพิษ ถึง 64 ชนิด ซึ่งตามตำนานกล่าวว่า สัตว์จำพวกงู แมงป่อง, ตะขาบ, คางคก, มด ฯลฯ มีพิษได้ ซึ่งก็ด้วยเหตุที่ นาคคายพิษทิ้งไว้ แล้วพวกงูไปเลีย พวกที่มาถึงก่อนก็เอาไปมาก พวกมาทีหลัง เช่น แมงป่อง กับ มด ได้พิษน้อย แค่เอาหาง เอากันไปป้ายเศษพิษ จำพวกนี้จึงมีพิษน้อย และพญานาคต้องคายพิษทุก 15 วัน

        นาค อาศัยอยู่ใต้ดิน หรือบาดาล คนโบราณเชื่อว่าเมื่อบนสวรรค์มีเทพอาศัยอยู่ลึกลงไปใต้พื้นโลก ก็น่าจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวว่า ที่ที่นาคอยู่นั้นลึกลงไปใต้ดิน 1 โยชน์ หรือ 16 กิโลเมตร มีปราสาทราชวังที่วิจิตรพิสดารไม่แพ้สวรรค์ ที่มีอยู่ถึง 7 ชั้น เรียงซ้อนๆ กัน ชั้นสูงๆ ก็จะมีความสุขเหมือนสวรรค์

        นาค สามารถผสมพันธุ์กับสัตว์ชนิดอื่นได้ แปลงกายแล้วสมสู่กับมนุษย์ได้ เมื่อนาคตั้งท้องจะออกลูกเป็นไข่เหมือนงู มีทั้งพันธุ์เศียรเดียว 3, 5 และ 7 เศียรสามารถขึ้นลง ตั้งแต่ใต้บาดาลพื้นโลกจนถึงสวรรค์ ในทุกตำนานมักจะกล่าวถึงนาคที่ขึ้น-ลง ระหว่างเมืองบาดาล กับเมืองสวรรค์ ที่จะแปลงกายเป็นอะไรตามที่คิด ตามสภาวะเหตุการณ์นั้น ๆ

    เมื่อ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้ธรรมพิเศษแล้ว ได้เสด็จไปตามเมืองต่างๆ เพื่อแสดงธรรมเทศนา มีครั้งหนึ่งได้เสด็จออกจากร่มไม้อธุปปาลนิโครธไปยังร่มไม้จิกชื่อ "มุจลินท์" ทรงนั่งเสวยวิมุตติสุข อยู่ 7 วัน คราวเดียวกันนั้นมีฝนตกพรำๆ ประกอบไปด้วยลมหนาวตลอด 7 วัน ได้มีพญานาคชื่อมุจลินท์ เข้ามาวงด้วยขด 7 รอบพร้อมกับแผ่พังพานปกพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อจะป้องกันฝนตกและลมมิให้ถูกพระวรกาย หลังจากฝนหายแล้ว คลายขนดออก แปลงเพศเป็นชายหนุ่มยืนเฝ้าที่เบื้องพระพักตร์ ด้วยความศรัทธาอย่างแรงกล้า ความเชื่อดังกล่าวทำให้เป็นที่มาของการสร้าง พระพุทธรูปปางนาคปรก แต่มักจะสร้างแบบพระนั่งบนตัวพญานาค ซึ่งดูเหมือนว่าเอาพญานาคเป็นบัลลังก์ เพื่อให้เกิดความสง่างาม และทำให้คิดว่า พญานาค คือผู้คุ้มครองพระศาสดา

    ในสมัยพระพุทธเจ้า มีพญานาคตนหนึ่งนั่งฟังธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าแล้วได้เกิดศรัทธา จึงได้แปลงกายเป็นมนุษย์ขอบวชเป็นพระภิกษุ แต่อยู่มาวันหนึ่งเข้านอนในตอนกลางวัน หลังจากหลับแล้วมนต์ได้เสื่อมกลายเป็นงูใหญ่ จนพระภิกษุรูปอื่นไปเห็นเข้า ต่อมาพระพุทธเจ้าทรงทราบจึงให้พระภิกษุนาคนั้นสึกออกไป เพราะเป็นสัตว์เดรัจฉาน นาคตนนั้นผิดหวังมาก จึงขอถวายคำว่า นาค ไว้ใช้เรียกผู้ที่เข้ามาขอบวชในพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นอนุสรณ์ในความศรัทธาของตน

ห้าสถานที่ที่เชื่อกันว่าเป็นถ้ำพระยานาค เมื่องใต้น้ำหรือวังบาดาลครับ อันดับแรก

๑.ถ้ำดินเพียง หรืออีกชื่อคือ “ถ้ำพญานาค” ในอำเภอสังคม จังหวัดหนองคาย เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่บอกเล่าความเร้นลับของเมืองบาดาล....... เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่บอกเล่าความเร้นลับของเมืองบาดาล จากปากต่อปาก รุ่นสู่รุ่น มาช้านาน โดยถ้ำแห่งนี้ถูกค้นพบโดยชาวบ้านที่ออกล่าสัตว์ป่าและไปพบถ้ำนี้โดยบังเอิญ...เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่บอกเล่าความเร้นลับของเมืองบาดาล 

๒. ป่าคำชะโนด มีลักษณะเป็นเกาะ มีน้ำล้อมรอบ ทั้งเกาะมีต้นชะโนดขึ้นอยู่เป็นจำนวนมาก  บริเวณกลางเกาะ มีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์เรียกว่า บ่อคำชะโนด ซึ่งจะมีน้ำจากใต้ดินผุดขึ้นมาตลอดเวลา ซึ่งน้ำจากบ่อนี้ได้มีการอัญเชิญไปประกอบพิธีทางศาสนามากมาย  

๓. แก่งอาฮง ซึ่งตั้งอยู่ บริเวณวัดอาฮง ในหมู่บ้านอาฮง ตำบลหอคำ จังหวัดบึงกาฬ โดยบริเวณแก่งน้ำขนาดใหญ่แห่งนี้ เชื่อว่าเป็นจุดที่ลึกที่สุดของแม่น้ำโขงลึกประมาณ ๒๐๐ เมตร ที่นี่มีปรากฏการณ์บั้งไฟพระยานาคเช่นกันกับอำเภอโพนพิสัย ต่างกันตรงที่ ลูกไฟจะเป็นสีเขียวซึ่งต่างจากที่อื่นจะเป็นสีแดงทั้งหมดครับ  หากใครที่ตกน้ำเสียชีวิตในแม่น้ำนี้ ศพมักจะมารวมอยู่ที่บริเวณนี้ทั้งหมดครับ

๔. ถ้ำน้ำเขาศิวะ จังหวัดสระแก้ว อยู่บริเวณบ้านเขาจันทร์แดง  ระหว่างเทือกเขาตาง็อกและเทือกเขากกมะม่วง อยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอคลองหาดประมาณ ๑๖ กิโลเมตร ถ้ำมีความลึก ๓๓๓เมตร

๕. ถ้ำพระยานาค วัดไทย อำเภอโพนิสัย จังหวัดหนองคาย สร้างขึ้นจากฝีมือมนุษย์โดยนิมิตของเจ้าอาวาส

หน้าแรก | ดูบทความทั้งหมด
# 1
By หมอยา
On 2017-08-12 00:23:11

ห้าสถานที่ที่เชื่อกันว่าเป็นถ้ำพระยานาค เมื่องใต้น้ำหรือวังบาดาลครับ อันดับแรก

๑.ถ้ำดินเพียง หรืออีกชื่อคือ “ถ้ำพญานาค” ในอำเภอสังคม จังหวัดหนองคาย เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่บอกเล่าความเร้นลับของเมืองบาดาล....... เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่บอกเล่าความเร้นลับของเมืองบาดาล จากปากต่อปาก รุ่นสู่รุ่น มาช้านาน โดยถ้ำแห่งนี้ถูกค้นพบโดยชาวบ้านที่ออกล่าสัตว์ป่าและไปพบถ้ำนี้โดยบังเอิญ...เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่บอกเล่าความเร้นลับของเมืองบาดาล 

๒. ป่าคำชะโนด มีลักษณะเป็นเกาะ มีน้ำล้อมรอบ ทั้งเกาะมีต้นชะโนดขึ้นอยู่เป็นจำนวนมาก  บริเวณกลางเกาะ มีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์เรียกว่า บ่อคำชะโนด ซึ่งจะมีน้ำจากใต้ดินผุดขึ้นมาตลอดเวลา ซึ่งน้ำจากบ่อนี้ได้มีการอัญเชิญไปประกอบพิธีทางศาสนามากมาย  

๓. แก่งอาฮง ซึ่งตั้งอยู่ บริเวณวัดอาฮง ในหมู่บ้านอาฮง ตำบลหอคำ จังหวัดบึงกาฬ โดยบริเวณแก่งน้ำขนาดใหญ่แห่งนี้ เชื่อว่าเป็นจุดที่ลึกที่สุดของแม่น้ำโขงลึกประมาณ ๒๐๐ เมตร ที่นี่มีปรากฏการณ์บั้งไฟพระยานาคเช่นกันกับอำเภอโพนพิสัย ต่างกันตรงที่ ลูกไฟจะเป็นสีเขียวซึ่งต่างจากที่อื่นจะเป็นสีแดงทั้งหมดครับ  หากใครที่ตกน้ำเสียชีวิตในแม่น้ำนี้ ศพมักจะมารวมอยู่ที่บริเวณนี้ทั้งหมดครับ

๔. ถ้ำน้ำเขาศิวะ จังหวัดสระแก้ว อยู่บริเวณบ้านเขาจันทร์แดง  ระหว่างเทือกเขาตาง็อกและเทือกเขากกมะม่วง อยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอคลองหาดประมาณ ๑๖ กิโลเมตร ถ้ำมีความลึก ๓๓๓เมตร

๕. ถ้ำพระยานาค วัดไทย อำเภอโพนิสัย จังหวัดหนองคาย สร้างขึ้นจากฝีมือมนุษย์โดยนิมิตของเจ้าอาวาส


บทความแนะนำ

รวมบทความ

แปลภาษา
ติดตามข่าวสาร
ติดตามข่าวสารที่ทวิสเตอร์  Page Ranking Tool