พ่อแก่ หรือพระฤาษี ถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนในแวดวงศิลปะแขนงต่าง ๆ ล้วนนิยมเคารพนับถือบูชา เนื่องด้วยเกิดจากความเชื่อที่ว่าในอดีต พ่อแก่ หรือพระฤาษีได้เป็นผู้นำเอาศิลปะ แขนงต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการร้องรำทำเพลง หรือแม้แต่การร่ายรำ นาฏศิลป์ต่าง ๆ มาถ่ายทอดให้แก่มนุษย์ได้รับรู้ความงาม ความอ่อนช้อยของศิลปะ รู้จักความอ่อนโยน รู้จักรัก รู้จักเมตตา และการให้อภัย ก่อให้เกิดความสุขแก่มวลมนุษยชาติ ดังนั้นศิลปิน หรือผู้เกี่ยวข้องในศิลปะทุกแขนง ในประเทศไทยจึงได้เคารพบูชาพ่อแก่ หรือครูฤาษีว่าเปรียบดังบรมครูแห่งศาสตร์ของการแสดง เมื่อได้บูชาแล้วจะก่อให้เกิดศิริมงคล มีความเจริญก้าวหน้าในด้านการงาน มีเสน่ห์ เมตตามหานิยมในตัว
ความเป็นมาของพ่อแก่
พ่อแก่, พระฤาษี หรือบางครั้งก็เรียกกันว่า ครูฤาษี ถือเป็นบรมครูแห่งศาสตร์ของการแสดง ตามตำนานกล่าวไว้ว่า พระฤาษีมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 108 องค์ ปางเสมอเถรถือว่าเป็นปางที่มีฤทธิ์มากที่สุดในบรรดาทั้ง 108 องค์ คำว่า ฤาษี มาจากคำว่า ฤาษิ แปลว่า ผู้เห็นด้วยความรู้พิเศษอันเกิดจากฌาน ซึ่งสามารถแลเห็นอดีตปัจจุบัน และอนาคตได้ บางครั้งก็เรียกพ่อแก่หรือฤาษีว่า
"ตฺริกาลชฺญ" แปลว่า ผู้รู้กาลทั้งสาม นอกจากนี้พระฤาษียังถือว่าเป็นผู้ประทานสรรพวิชาความรู้ ทั้งมวลแก่มนุษยชาติ เนื่องด้วยตำราทางโหราศาสตร์ และตำราทางเทววิทยา กล่าวไว้สอดคล้องกันว่า พระพฤหัสบดีถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้เป็นอาจารย์แห่งสรรพวิชาความรู้ทั้งมวล
วันครู
เนื่องด้วยพระอิศวรมหาเทพ ร่ายพระเวทให้ฤาษี 19 ตน ป่นเป็นธุลี แล้วห่อด้วยผ้าสีแก้วไพฑูรย์ ประพรมด้วยน้ำอมฤต บังเกิดเป็นเทวราช มีสีกายดั่งแก้วไพฑูรย์ มีวิมานบุษราคัม ทรงกวางทองเป็นพาหนะ รักษาเขา พระสุเมรุด้านทิศตะวันตก มีร่างกายแสดงด้วยสัญลักษณ์ของฤาษีจึงมีปัญญาบริสุทธิ์ เฉลียวฉลาด พูดจาไพเราะเสนาะหู เป็นอาจารย์แห่งสรรพวิชาความรู้ทั้งมวลรวมถึงเป็นอาจารย์ของเหล่า เทพเทวดา จึงให้ถือว่าวันพฤหัสบดีอันแสดงด้วยสัญลักษณ์ของฤาษีเป็นวันครูจึงมีการไหว้ครูกัน ในวันนี้ ซึ่งมีสืบทอดมาจนถึงยุคปัจจุบัน
ฤาษีตนแรกจริงแล้ว คือ พระพรหมนั่นเอง ครับ สังเกตได้จากภาพเขียนของอินเดีย นิยมเขียนรูปพระพรหมเป็นพระฤาษีไว้หนวดเครายาวขาวโพลน นุ่งห่มหนังเสือ เพราะศาสนาพราหมณ์ นั้น ถือกำเนิดมาจากพระพรหม นอกจากนี้พระฤาษียังเป็นสื่อกลางถ่ายทอดพระเวทมาจากพระผู้เป็นเจ้าอีกทอดหนึ่ง เรื่องราวของพระพรหม และพระฤาษีในศาสนาพราหมณ์จึงเกี่ยวข้องกันอย่างแนบแคว้น ส่วนพระศิวะนั้น พระองค์ก็เป็นหัวหน้าฤาษีทั้งมวล ด้วยการบำเพ็ญตบะญาณแผดเผากิเลส และแต่งกายอย่างสมถะ พราหมณาจารย์ จึงยกย่องให้เป็นเจ้าแห่งฤาษีและเหล่ามุนี ทั้งมวล ครับ
ฤาษี แปลว่า ผู้มีปัญญาอันเกิดจากพระผู้เป็นเจ้า แบ่งชั้นดังนี้
- พรหมฤาษี
- เทพฤาษี
- ราชฤาษี
- มนุษย์ฤาษี
ส่วนนักบวชอินเดีย แบ่งดังนี้
- สิทธา ฤาษีที่มีคุณธรรม สถิตอยู่ตามเทือกเขาและตามถ้ำ
- โยคี ผู้สำเร็จ หรือกำลังศึกษาด้านโยคะกรรม เที่ยวทรมานตนตามป่าเขา
- มุนี พราหมณ์ทีบำเพ็ญตบะธรรมด้วยความเพียร จนบรรลุซึ่งปัญญา และความรู้
- ดาบส ผู้บำเพ็ญตบะธรรม ทรมานกาย
- ชฎิล นักบวชที่ชอบเกล้ามุ่นมวยผมแบบชฎา ไว้หนวดเคราอยู่ตามป่าเขา
- นักสิทธิ์ ผู้ทรงศีลกึ่งเทพ กึ่งมนุษย์ มีคุณธรรม ยืดมั่น สัจจะ วาจา อาศัยในดินแดนลี้ลับ คอยช่วยมนุษย์คนดีที่เดือดร้อน
- นักพรต ผู้ทรงศีลบริสุทธิ์ เคร่งครัด มีอิทธิฤทธิ์ แต่ไม่โอ้อวด
- พราหมณ์ นักบาวชที่ปฏิบัติบูชา และสละทางโลมาบำเพ็ญตบะ ประกอบพิธีทางศาสนาพราหมณ์ อยู่เป็นหมู่คณะ ตามเทวสถาน, เทวาลัย
ฤาษีมี 5 ประเภท
- มหาฤาษี ทรงอิทธิฤทธิ์สูง ได้แก่ ฤาษีอิศวร ฤาษีนารายณ์ ฤาษีพิฆเนศ
- พรหมฤาษี บำเพ็ญตบะสูงสุดเกิดเป็นพรหม(ฤาษีชั้นพรหม) ฤาษีพรหมบุตร , ฤาษีพรหมา , ฤาษีพรหมประสิทธิ์ ที่ขึ้นต้นว่าพรหม ฯลฯ
- ฤาษีชั้นเทพ เทพฤาษี ทรงอิทธิฤทธิ์ บารมีสูง ได้แก่ ฤาษีเพชรฉลูกัณฑ์ ฤาษีปัจสิงขร ฤาษีตาวัว ฤาษีตาไฟ ฤาษีบรมโกฏิ ฤาษีกไลยโกฏ ฤาษีนาเรศร์ ฯลฯ
- ราชฤาษี ฤาษีระดับเจ้าฤาษี บำเพ็ญตบะอย่างเคร่งครัด ฤาษีสัตยพรต ฤาษีชนกจักรวรรดิ
- นรฤาษี (มนุษย์ฤาษี) บำเพ็ญตบะขั้นพื้นฐานจนบารมีสูง ฤาษีโกเมน ฤาษีลูกประคำ ฤาษีโคบุตร ฤาษีโคดม ฯลฯ
- อสูรฤาษี (กึ่งยักษ์กึ่งฤาษี) ฤาษีพระพิราพ ฤาษีพิรอด ท้าวเวสสุวรรณ ท้าวหิรัญพนาสูร อนันตยักษ์ ท้าวหิรัญยักษ์ ประเทศจีน เรียกนักพรต ว่า เซียน ก็คือฤาษี ประเทศเราครับ
ขออนุโมทนา ท่านตาแว่นบ้านดาบ(อาศรมรวมเทพ)ในข้อมูลครับพระฤาษีโคดม
เดิม เป็นกษัตริย์เมืองสาเกต เกิดความเบื่อหน่ายในราชสมบัติจึงออกบวชอยู่เป็นเวลานานจนหนวดเครายาวรุงรัง ถึงกับมีนกกระจาบป่าสองตัวผัวเมียมาทำรังอาศัยอยู่ วันหนึ่งนกกระจาบป่าทะเลาะกันโดยนางนกกระจาบกล่าวหาอีกฝ่ายว่าไม่ซื่อสัตย์ ต่อตน นกกระจาบผู้กล่าวว่า ถ้าตนไม่ซื่อสัตย์จริง ขอให้บาปของพระฤาษีโคดมจงตกอยู่กับตนทั้งหมดเถิด ฤาษีสงสัยจึงถามว่าตนมีบาปอะไรอยู่ นกกระจาบป่าตอบว่าเพราะพระฤาษีไม่มีลูกสืบสกุลที่จะปกครองบ้านเมืองต่อไป พระฤาษีจึงทำพิธีชุบหญิงสาวคนหนึ่งขึ้นมาจากกองไฟให้ชื่อว่า นางกาลอัจนา แล้วอยู่กินกับนางจนให้กำเนิดบุตรสาวคนหนึ่งชื่อนางสวาหะ วันหนึ่งพระอินทร์อยากสร้างทหารเอกให้กองทัพของพระราม (อย่างที่เล่าไว้ก่อนหน้านี้) ต่อมาพระอาทิตย์ก็มีความคิดเช่นเดียวกับพระอินทร์ จนนางกาลอัจนาให้กำเนิดบุตรชายทั้งสอง โดยที่พระฤาษีโคดมไม่รู้และเข้าใจว่าเด็กทั้งสองเป้นลูกของตน
อยู่ มาวันหนึ่งพระฤาษีพาลูกทั้งสามไปอาบน้ำ โดยอุ้มลูกชายคนโตขึ้นขี่หลัง อุ้มลูกชายคนเล็กไว้ทางขวา และจูงมือจูงลูกหญิงให้เดินไปด้วยมือซ้าย นางสวาหะเกิดความน้อยใจจึงเดินบ่นจนไปถึงท่าน้ำว่าพ่อไปหลงรักลูกคนอื่นทั้ง อุ้มและใ ห้ขี่หลัง ส่วนลูกของตนเองให้เดินไปเอง.. ฤาษีเกิดความสงสัยจึงถามนางสวาหะ นางจึงเล่าความจริงให้ฟัง ฤาษีโคดมอยากรู้ว่าคนไหนเป็นลูกของตนจึงทำพิธีเสี่ยงาทยโดยโยนเด็กทั้ง สามคนออกไปกลา งน้ำ แล้วอธิษฐานว่า ถ้าเด็กคนไหนเป็นลูกของตนก็ให้ว่ายน้ำกลับมา ถ้าเป็นลูกของคนอื่นก็ให้ว่ายน้ำข้ามฝั่งไปแล้วให้กลายเป็นลิงเข้าไปอยู่ใน ป่า ดังนั้นเด็กชายทั้งสองจึงกลายเป็นลิงเข้าไปอยู่ในป่าดังคำอธิษฐาน
หนังสือรามเกียรติ์บทพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 1 บรรยายไว้ดังนี้
"แม้นว่าสามเจ้านี้เป็นเนื้อ เชื้อสายโลหิตของข้า
จะทิ้งออกไปกลางคงคา จงว่ายกลับมาทันใด
แม้นว่าเป็นลูกชายอื่น อย่าให้ว่ายคืนเข้ามาได้
จงเป็นสวาวานรไพร เสี่ยงแล้วขว้างไปทันที
แต่นางสวาหะผู้ธิดา กลับว่ายมาหาพระฤาษี
สองกุมารนั้นข้ามวารี เป็นกระบี่เข้ายังพนาลัย"
ส่วนท่านอยู่ในชั้นใด ผมไม่ทราบครับ สาธุ
ตอนที่ 3 กำเนิดหนุมาน
ที่ กรุงสาเกด ท้าวโคดมซึ่งเป็นกษัตริย์ปกครองเมืองแต่ไร้ทายาทสืบทอด เบื่อหน่ายโลกจึงออกบวชเป็นฤาษีโคดมอยู่ในป่า บำเพ็ญตบะปล่อยหนวดเครารุงรังจนมีนกกระจาบสองผัวเมียมาอาศัยเป็นที่ทำรัง หลับนอน
วันหนึ่งนกกระจาบตัวผู้ออกไปหากินทว่าติดอยู่ในกลีบดอกบัว ทั้งคืน ต้องรอจนรุ่งสางเมื่อดอกบัวผลิบานจึงบินออกมาได้ ครั้นกลับมาถึงรังก็มีปากเสียงกันเพราะแม่นกกระจาบไม่เชื่อว่าพ่อนกติดอยู่ ในดอกบัวจ ริง ฝ่ายพ่อนกจึงร้องว่า “หากทั้งหมดที่ข้าพูดมานั้นเป็นเรื่องโกหก ขอให้บาปทั้งมวลของพระฤาษีโคดมจงตกเป็นของข้าผู้เดียว”
พระฤาษีได้ ยินก็สะดุ้งโหยง ถามกลับไปว่า “ฉันมีบาปตรงไหน ทุกวันนี้ฉันก็นั่งบำเพ็ญเพียรภาวนารักษาศีล ร่างกาย หนวดเคราของฉันก็ให้พวกเธอได้ใช้เป็นที่พักพิง บอกฉันหน่อยสิ ว่าฉันมีบาปมหันต์อย่างไร”
พ่อนกจึงตอบไปว่า “ท่านเป็นคนบาปเพราะท่านไม่มีโอรสธิดาไว้เป็นทายาทสืบทอดราชบัลลังก์ และการที่ท่านละทิ้งบ้านเมืองมาอยู่ป่าเช่นนี้ก็เท่ากับว่า ท่านได้ทิ้งนครของท่านไร้กษัตริย์ปกครอง อย่างนี้จะเรียกว่าท่านเป็นคนบาปได้หรือไม่ล่ะท่านฤาษี
พระฤาษีโคดม ครุ่นคิดสักครู่ก็รู้ว่าจริงดั่งคำของพ่อนก บังเกิดความรู้สึกเหนื่อยหน่ายต่อเพศฤาษี จึงตั้งพิธีบริกรรมหน้ากองไฟ เนรมิตสาวงามชื่อนางกาลอัจนาขึ้นมาเพื่ออยู่กินกันฉันผัวเมีย จนได้ลูกสาวคนหนึ่งชื่อนางสวาหะ
วันหนึ่งขณะพระโคดมเข้าป่าไปหาผล ไม้ตามปกติทิ้งนางกาลอัจนาเฝ้าอาศรมผู้เดียว พระอินทร์เสด็จมาอยู่กับนางกาลอัจนาเพื่อให้เกิดโอรสมีฤทธิ์ มีบุตรรูปงามผิวสีเขียว ฝ่ายพระอาทิตย์ก็เสด็จมาอยู่กับนางกาลอัจนาบ้างจนนางคลอดบุตรเป็นเด็กชายรูป งามผิวสี แดง
พระโคดมนั้นคิดว่าเด็กชายทั้งสองเป็นลูกของตนก็เฝ้าเลี้ยงดูทะนุถนอมอย่างดี จนแทบจะลืมนางสวาหะลูกสาวคนโตเลยทีเดียว
อยู่ มาวันหนึ่งพระโคดมเกิดร้อนอยากอาบน้ำจึงพาลูกทั้งสามไปริมฝั่งแม่น้ำโดยอุ้ม ลูกช ายคนเล็กไว้ข้างเอว ลูกชายคนกลางให้ขี่หลัง ส่วนลูกคนโตซึ่งคือนางสวาหะท่านจูงด้วยมือซ้ายเพราะเห็นว่าโตแล้ว
นาง สวาหะซึ่งรับรู้เรื่องราวทุกอย่างมาตลอดจึงบ่นขึ้นมาว่า “เชอะ…ทีลูกของคนอื่นล่ะเอาอุ้มชูให้ขี่หลัง แต่กับลูกของตัวเองแท้ๆกลับให้เดินเอาเอง
พระโคดมได้ฟังก็เกิดความ สงสัยบังคับให้นางสวาหะเล่าความจริงมาทั้งหมด เมื่อรับทราบเรื่องราวก็ได้อธิษฐานว่า “เราจะจับพวกเจ้าทั้งสามโยนทิ้งลงแม่น้ำ หากใครไม่ใช่ลูกเราก็จงกลายเป็นลิงขึ้นฝั่งเข้าป่าไป ส่วนลูกของเราก็ขอให้ว่ายน้ำกลับมาหาเรา
เมื่อกล่าวจบก็จับลูกทั้ง สามโยนลงแม่น้ำ มีเพียงนางสวาหะว่ายกลับมาได้คนเดียว ส่วนลูกชายทั้งสองกลายเป็นลิงสีเขียวและสีแดงหายลับเข้าป่าไป
พระโคดมกลับมายังอาศรมด้วยความโกรธจัดจึงสาปนางกาลอัจนากลายเป็นหินรอพระนารายณ์อวตา รมาขนไปทิ้งทะเลเมื่อจะข้ามไปกรุงลงกา
นาง กาลอัจนาคิดแค้นสวาหะลูกสาวของตนที่ไม่รู้จักบุญคุณแม่จึงสาปให้ยืนตีนเดียว มือเห นี่ยวต้นไม้ อ้าปากกินลมอยู่ที่เชิงเขาจักรวาล จนกว่าจะออกลูกเป็นลิงจึงพ้นคำสาป
ฝ่ายพระอินทร์และพระอาทิตย์ซึ่ง เฝ้าดูเหตุการณ์ก็นึกสงสารในชะตากรรมของลูกชายจึงเนร มิตเมืองขีดขินให้โอรสทั้งสองได้อยู่ โดยโอรสพระอินทร์เป็นพญากากาศ (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นพาลี) ตัวสีเขียว ส่วนโอรสพระอาทิตย์นั้นได้แต่งตั้งเป็นอุปราชมีชื่อว่า สุครีพ ตัวสีแดง
เวลา ผ่านไปนานปีพระอิศวรเห็นนางสวาหะยืนอยู่ก็รู้สึกสงสารจึงแบ่งกำลังให้พระพาย ซัดเ ข้าปากนางสวาหะ จนนางตั้งครรภ์อยู่ 30 เดือน ก็คลอดบุตรออกมาเป็นวานรเผือกเผ่นกระโจนออกมาทางปาก มีลักษณะพิเศษคือ มีคทาเพชรเป็นสันหลัง ตรีเพชรเป็นกาย จักรแก้วเป็นศีรษะ มีเขี้ยวแก้ว หาวเป็นเดือนเป็นดาว ฤทธิ์เดชร้ายกาจ รบใครก็ชนะตลอดกาล วานรเผือกตัวนี้มีชื่อว่า หนุมาน ด้วยความซุกซนไปก่อความเดือนร้อนบนสวรรค์จึงถูกสาปว่าเมื่อต่อสู้กำลังจะลด ลงครึ่งหน ึ่ง และจะพ้นคำสาปต่อเมื่อพระนารายณ์มาลูบหลัง
วันหนึ่ง พระพายพ่อของหนุมานได้พาไปเข้าเฝ้าพระอิศวรบนเขาไกรลาส พระอิศวรทรงสอนคาถาแปลงกาย หายตัว และวิชาอยู่ยงคงกระพัน อีกทั้งยังประทานพรให้มีอายุยืนตลอดกาลแม้ถูกฆ่าก็ฟื้นได้เสมอ จากนั้นจึงเรียกพาลีและสุครีพมาเข้าเฝ้า แนะนำให้รู้จักกันแล้วมอบหนุมานให้พาลีนำไปเลี้ยงพร้อมกันนั้นได้มอบชมพูพาน ซึ่งเกิดจากเหงื่อไคลที่พระองค์ทรงชุบเนรมิตให้ไปเป็นโอรสด้วย
อยู่ มาวันหนึ่งเขาพระสุเมรุเอียงทรุดลง แล้วได้พาลีกับสุครีพมาช่วยทำให้เขาพระสุเมรุตั้งกลับสู่ดังเดิม พระอิศวรจึงประทานพรให้พาสีพร้อมตรีเพชรและให้พร “เมื่อใดที่เจ้ารบกับศัตรู ศัตรูจะกำลังลดไปครึ่งหนึ่งแล้วไปเพิ่มกำลังในตัวเจ้า ศัตรูทุกคนจะรบแพ้พาลี” นอกจากนี้ได้ฝากผอบซึ่งมีนางดาราอยู่ภายในให้นำไปฝากสุครีพด้วย แต่สุดท้ายพาลีแอบเปิดผอบกลางทางเจอนางดาราเข้าก็หลงรักทันที จึงริบนางดาราเอาไว้เป็นเมียเสียเองhttp://www.meeboard.com /view.asp?user=thanayus
พระฤาษีนาคา
ปู่ฤาษีนาคา ฤาษีผู้มีตะบะเดชะการบำเพ็ญเพียรจนสามารถจำแลงแปลงการเป็นครึ่งคนครึ่งนาค ได้ เป็นที่เคารพนับถือกันมากในปวงชน ท่านมีเมตรตาจิตสูงชอบช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก และท่านยังเปนผู้มีจิตโอนอ่อนมาทางพระพุทธศาสนา ท่านยังเป็นผู้ที่ปกป้องดูแลคุ้มครองพระพุทธศาสนา หากบุคคลใดผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนาแล้วฤาษีนาคจักปกป้องคุ้มครองดูแล ประทานเงินทองอู่เนืองๆ
**คาถาบูชาปู่นาคา**
ตั้ง นะโม 3 จบ
นะติตัง พญามะ นาคายะ อภินัง นาคา สาธุโนภันเต ยะมะ ยะมะ
ผู้ใดมีปู่ฤาษีนาคาไว้บูชา จักมีโชคลาภ เงินทองมิขาดมือ เจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน มีความสำเร็จสมความปรารถนา ทุกประการ
ตำนานพระฤาษีโภคทรัพย์ ๕ พระองค์
ใน สมัยอดีตกาล พระเจ้าจักรพรรดิทัลหเนมิ เมื่อจักรแก้วอันเป็นทิพย์ถอยเคลื่อนไป พระองค์จึงทรงผนวชเป็นฤาษีพร้อมด้วยบริวารเป็นอันมาก เมื่อผนวชแล้วมีนามว่ามีพระนามว่า พระราชฤาษีจักรพรรดิ ทัลหเนมิ พระราชฤาษีจักรพรรดิเคยฟังธรรมของ พระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่อมาเมื่อผนวชเป็นราชฤาษีแล้ว ทรงสำเร็จอานาคามิมรรค อานาคามิผลเมื่อสิ้นชีพแล้ว อุบัติอยู่ในสุธาวาสพรหมโลก พระราชโอรสองค์ใหญ่ ของพระเจ้าจักรพรรดิทัลหเนมิ อำมาตย์ และมหาอำมาตย์ ทรงถือเพศเป็นฤาษี ขณะพระราชา ประพฤติจักกวัตติวัตร และคณะอำมาตย์ ประพฤติธรรมเป็นประโยชน์ในปัจจุบัน และประโยชน์ในภายหน้า พระราชา และคณะอำมาตย์ทั้ง ๔ ประพฤติธรรมได้ ๓ วัน สรีระที่เคยทรวดทรงดี ก็กลับกลายเป็น สรีระที่อ้วนพี สมลักษณะเจ้าแห่งโภคทรัพย์ พระราชโอรสองค์ใหญ่ ของพระเจ้าจักรพรรดิทัลหเนมิ เป็นพระฤาษี นามว่า พระฤาษีธรรมราชาบดี อำมาตย์ทั้ง ๔ แปลงเพศเป็นฤาษี มีนามดังนี้ อำมาตย์คลังทอง มีนามว่า พระฤาษีคลังทอง อำมาตย์คลังแก้วแหวนแปลงเพศเป็นฤาษีนามว่า พระฤาษีคลังแก้วแหวน(พระฤาษีโภคทรัพย์) อำมาตย์คลังธัญญาหาร แปลงเพศเป็นฤาษีนามว่า พระฤาษีธัญญาหาร(พระฤาษีโภสพ) อำมาตย์คลังสินค้า แปลงเพศเป็นฤาษีนามว่า พระฤาษีคฤหบดีฤาษีทั้ง ๕ ตนได้ฟังธรรมจาก พระราชฤาษีจักรพรรดิทัลหเนมิ พระฤาษีทั้ง ๕ เป็นที่นับถือของคนทั่วไป ผู้คนทั้งหลายไปฟังธรรมจากพระฤาษีทั้ง ๕ ตนนี้ทุกวัน ๑๕ ค่ำในจักกวัตติวัตรธรรม ธรรมที่เป็นประโยชน์ในปัจจจุบัน ธรรมที่เป็นประโยชน์ในภายหน้า ธรรมที่ทำให้ทรัพย์ไหลเข้าธรรมที่ทำให้ทรัพย์ไหลออก เหตุแห่งความเสื่อม เหตุแห่งความเจริญ บุคคลทั้งหลายได้ฟังธรรมจากพระฤาษีทั้ง ๕ ตนแล้ว ย่อมมีแต่ความเจริญ ในกาลภายหลังพระฤาษีทั้ง ๕ ตน ได้สำเร็จอานาคามิมรรค อานาคามิผล
http://www.meeboard.com/list.asp?user=thanayus25
ฤาษีศิลาท
เป็น ฤาษีในชั้นดิน เป็นบิดาของ(พระนันทิน หรืออีกนามหนึ่งคือ พระนันทิเกศวร ผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะปติของ องค์พระสดาศิวะมหาเทพ) ฤาษีศิลาท เป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับว่า มีบุตรอันยอดเยี่ยม และยิ่งใหญ่ เป็นอภิชาตบุตร อันหาที่เสมอเหมือนมิได้ ฤาษีศิลาท มีรูปกายเป็นมนุษย์ สูงใหญ่
ฤาษีกษิโรธ
ฤาษีกษิโรธ
เป็นฤาษีในชั้นเทพฤาษี ถือได้ว่าเป็นเสมือนบิดาของ(องค์พระมหาลักษมีมาตาเทวีเจ้า ผู้เป็นพระชายาในพระมหาวิษณุผู้เป็นเจ้า) เป็นผู้สันทัดในเรื่องความอุดมสมบูรณ์ ความมั่งคั่ง ร่ำรวย ด้วยสมบัติ อันมากมาย ฤาษีกษิโรธ ภาคนี่มีรูปเป็นมนุษย์ ศีรษะเป็นพญานาค ผิวกายสุกสว่างเป็นสีขาว นุ่งห่มด้วยเสื้อผ้าเครื่องประดับล้ำค่าดั่งกษัตริย์เป็นสีขาว คล้องประคำไข่มุกสีขาว
พระศุกร์ฤาษี
1 องค์พระศุกกราอาจารย์(พระ-ศุก-กรา-อา-จา-ระ-ยะ)
หรือ ฤาษีศุกร์ และอีกนามหนึ่งคือครูอสูร ผู้ซึ่งเป็นคุรุ หรือครูของเหล่าอสูร ยักษ์ ทั้งหลาย เป็นบุตรแห่ง(มหาฤาษีภฤคุผู้ทรงเป็นหนึ่งในเจ็ดมหาสัปตะฤาษีผู้ยิ่งใหญ่ ทั้ง7) ฤาษีศุกร์ เชี่ยวชาญในมนตรา วิชา ทุกแขนง ที่สันทัดเป็นพิเศษคือ การกำหนดปลุกฟื้นคืนชีพและการทำลายชีวิตศัตรูแบบช้าๆด้วยความทรมานด้วยสาร พักศาตราแล ะโรคา การกดดวงชะตาให้ตกต่ำไม่มีผู้ค้ำจุน หรือการทำลายฐานดวงให้ชีวิตพลัดพรากจากสิ่งที่ตนรัก ในทางกลับกัน ก็เชี่ยวชาญในการแก้ไขเช่นเดียวกันด้วย พระฤาษีศุกร์ มีลูกศิษย์คนสำคัญๆยกตัวอย่างเช่น โสมเทพ(พระจันทร์) ราหู (พระราหู)เป็นต้น ฤาษีศุกร์ถือเป็นฤาษีที่อยู่ในศักดิ์ เทพฤาษี อันเป็นชั้นที่ 2 ของระดับชั้นของฤาษีเบื้องบน(ฤาษีแบ่งเป็นฤาษีเบื้องบนคือชั้นฟ้าและฤาษี เบื้องล่างค ือชั้นดิน) ในชั้นที่แรกสุดของฤาษีชั้นฟ้าคือราชฤาษี ชั้นที่2คือเทพฤาษี ชั้นที่3คือพรหมฤาษี และชั้นสูงสุดคือมหาฤาษี
พระฤาษีพรหมเมศ
ท่าน มีรูปร่างลักษณะเหมือนอย่างกับพระพรหมโดยทั่วๆไป คือ มี 4 หน้า ส่วนตรงเศียรด้านบนก็เป็ฯกรวยเช่นเดียวกันกับเศียรของพระฤาษีทั้งหลาย มี 8 กร หน้าสีทอง ผิวกายสีทองนุ่งด้วยผ้าโขมพัตถ์
สำหรับพระฤาษีพรหมเมศร์ ผู้นี้ท่านทรงมีอิทธิฤทธิ์และปาฏิหาริย์อย่างมากมาย ท่านชอบช่วยเหลือมวลมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลายโดยทั่วไป ด้วยอัธยาศัยไมตรีอันดีงามของท่านอย่างสุดซึ้งครับ
พระนาฏมุนี
พระนาฏมุนี(อ่านว่า พระ-นา-ตะ-มุ-นี)
เป็น บรมครูฤาษีทางด้านสาขานาฏศิลป์ การฟ้อนรำ รูปลักษณ์ที่สร้างเป็นหัวโขน (ศรีษะครู)จะเป็นหน้าฤาษี หรือ"พ่อแก่"ก็สุดแล้วแต่จะเรียกนะคะ หน้าสีน้ำตาลอมม่วง สวมลอมพอกฤาษี ท่านเป็นบรมครูสอนทางด้านนาฏศิลป์การฟ้อนรำ ท่านคิดประดิษฐ์ท่ารำต่างๆ ภายหลังท่านได้ออกบำเพ็ญพรต เป็นฤาษีก็เพราะความเสื่อมทรามทางจิตใจของลูกศิษย์ที่คอยแต่จะชิงดีชิงเด่น ห้ำหั่นกั นเอง การบำเพ็ญเพียรของท่านนั้นทำโดย นั่งตากแดดทั้งวัน ตากน้ำค้างทั้งคืน ตัดขาดจากสำผัสภายนอกทั้งหมดโดยอาศัยฌานสมาบัติ ร่างกายคงอยู่ได้ด้วยฌาน ด้วยเหตุนี้ท่านจึงมีวรรณะสีคล้ำ ผิวสีทองแดงศิลปินรุ่นต่อๆมาจึงสร้างศรีษะครูเป็นพระฤาษีหน้า สีน้ำตาลอมม่วง
พระฤาษีนารอด
พระฤาษีนารอด เป็นครูของฤาษีทั้งปวง ทรงกำเนิดจากเศียรที่๕ของพระพรมธาดา ทรงเพศเป็นฤาษี พระฤาษีนารอดถือว่าเป็นฤาษีองค์แรกของไตรภูมิ ไม่ว่าจะมีการบูชาสิ่งใด หากไม่มีการเชิญท่านแล้ว พิธีกรรมนั้นมักไม่สมบูรณ์
ฤๅษีนารอด พระนารท หรือ พระนารอด หรือ พระนาระทะ แล้วแต่จะเรียก เป็น1 ใน พระประชาบดี (เทวฤษีที่เป็นพระผู้สร้าง) ๑๐ องค์ คือ เป็นผู้ประดิษฐ์ "วีณา" -- พิณน้ำเต้า พระฤๅษีนารทบำเพ็ญพรตอยู่เชิงเขาโสฬส นอกเมืองลงกา เมื่อคราวหนุมานไปถวายแหวนแก่นางสีดาได้เหาะเลยเมืองลงกาเพราะไม่รู้จักทาง ไปพบกันเข้าจึงเกิดการประลองฤทธิ์กัน แต่หนุมานเกิดพ่ายแพ้ต่อฤทธิ์พระฤๅษีจึงยอมอ่อนน้อม และเมื่อคราวหนุมานไปเผากรุงลงกาไฟที่ติดหางหนุมานจะดับอย่างไรก็ไม่สามารถ ดับได้ หนุมานจึงไปหาพระฤๅษีนารทให้ช่วยดับไฟให้ พระฤาษีนารอด เป็นครูของฤาษีทั้งปวง ทรงกำเนิดจากเศียรที่ ๕ ของพระพรมธาดา ทรงเพศเป็นฤาษี พระฤาษีนารอดถือว่าเป็นฤาษีองค์แรกของไตรภูมิ ไม่ว่าจะมีการบูชาสิ่งใด หากไม่มีการเชิญท่านแล้ว พิธีกรรมนั้นมักไม่สมบูรณ์ รูปลักษณ์ของท่านที่สร้างเป็นหัวโขน(ศรีษะครู)สำหรับบูชาเป็นรูปหน้าพระฤาษี หน้าปิดท อง สวมลอมพอกฤาษี มี(กระดาษ)ทำเป็นผ้าพับเป็นชั้นลดหลั่นกันไป เสียบอยู่กลางลอมพอก สิ่งที่เกี่ยวกับพระฤาษีนารอด เพิ่มเติม พระรอดเป็นพระเครื่องราง ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไม่แพ้พระสมเด็จฯ และพระนางพญา ได้ถูกขนานนามว่าเป็น " เทวีแห่งนิรันตราย " ทั้งได้แสดงคุณวิเศษทางแคล้วคลาดเป็นที่ประจักษ์มาแล้วมากมาย ตามตำนานกล่าวว่า "พระนารทฤาษี" เป็นผู้สร้างพระพิมพ์นี้ขึ้น จึงเรียกพระพิมพ์นี้ว่า "พระนารท" หรือ "พระนารอด" ครั้นต่อมานานเข้ามีผู้เรียกและผู้เขียนเพี้ยนไปเป็น "พระรอท" และในที่สุด ก็เป็น"พระรอด" อีกทั้งเหมาะกับภาษาไทยที่แปลว่า รอดพ้น จึงนิยมเรียกพระพิมพ์เครื่องรางชนิดนี้ว่า พระรอด เรื่อยมาโดย ไม่มีผู้ใดขัดแย้ง พระรอดพบในอุโมงค์ใต้เจดีย์ใหญ่วัดมหาวัน หรือที่เรียกว่า มหาวนาราม ณ จังหวัดลำพูน ซึ่งปรากฏอยู่ถึงจนปัจจุบันนี้ อนึ่ง วัดมหาวันเป็นวัดโบราณของมอญลานนาในยุคทวาราวดี ขณะที่พระเจ้าเม็งรายยกทัพมาขับไล่พวกมอญออกไปราว พ.ศ.1740 นั้น ก็พบว่าวัดนี้เป็นโบราณสถานอยู่ก่อนแล้ว ฉะนั้นจึงไม่น่ามีปัญหาใดเลยว่า พระรอดนี้ควรมีอายุ เกินกว่าพันปีเป็นแน่ แต่เพิ่งมาพบเมื่อประมาณ 50 ปีมานี่เอง พระฤษีนารอด ท่านเป็นหมอยาที่มีคาถาอาคมเก่งกล้า ทั้งยังเป็นอาจารย์รดน้ำมนต์ที่เก่งที่สุดอีกด้วยท่านมีบารมีมาก ปวงชนทั่วไปก็มักจะรู้จักพระนามของท่านแทบทั้งนั้น รูปร่างหน้าตาของท่านก็ยังมีหนวดเครายาวลงมาจากคางถึงในระหว่างอกมือถือดอก บัว ตรงด้านหน้ามีบาตรน้ำมนตร์ตั้งอยู่เป็นประจำ เก่งในทางรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ชงัดนักแล ถ้าหากผู้ใดมีความทุกข์ที่เกี่ยวกับการเจ็บไข้ได้ป่วย ก็จงบนบานศาลกล่าวกับท่านดูแล้วท่านก็จะต้องเมตตาเสด็จลงมาปัดเป่ารักษาให้ โรคภัยนั้ นหายไปในเร็ววันมักจะมีคนพูดกันทั่วไปว่า พระฤษีนารอดเป็นพี่ชายของ พระฤษีนารายณ์แต่บำเพ็ญพรตกันอยู่คนละแห่ง นานๆจึงจะได้พบกันสักครั้งหนึ่ง แต่เรื่องนี้มีความคลาดเคลื่อนอยู่ ที่จริงแล้วผู้ที่เป็นน้องชายของพระฤษีนารอดก็คือ พระฤษีนาเรศร์ มิใช่พระฤษีนารายณ์ ที่ถูกต้องก็คือ พระฤษีนาเรศร์ นี่แหละที่เป็นน้องชายแท้ๆของ พระฤษีนารอด และก็ได้บำเพ็ญตบะอย่างมุ่งมั่นอยู่กันคนละแห่ง สำหรับพระฤษีนาเรศร์นี้ ท่านเก่งในคาถาอาคมศักดิ์สิทธิ์มีเวทมนตร์ขลังเป็นที่สุด ชอบสันโดษบำเพ็ญพรตอยู่แต่ในป่าลึกๆ ไม่ค่อยชอบสมาคมกับใครเท่าใดนัก แม้แต่พี่น้องกันแท้ๆ ยังนานๆได้พบกันที พอพบกันก็จะดีใจถึงกับกอดกันแน่นด้วยความปลื้มปิติยินดีท่านที่กราบไหว้บูชา พระฤษีสอ งองค์พี่น้องก็จะเป็นมงคลอันสูง ท่านก็จะได้แผ่บารมีแห่งความเมตตามายังท่าน มาป้องปัดบำบัดรักษา และคุ้ม ครองมิให้โรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียนตลอดกาล.... พระฤษีนารอดสวมเทริดฤษี ยอดบายศรีลายหนังเสือ เป็นพระฤษีที่บำเพ็ญพรตอยู่ที่เชิงเขาโสฬสนอกกรุงลงกา เมื่อครั้งหนุมานไปถวายแหวนนางสีดา เหาะเลยกรุงลงกาไปจึงไปพบพระฤษีนารอด(ฤษีนารท) โดยบังเอิญ แล้วต่อสู้กัน หนุมานแพ้จึงยอมอ่อนน้อมให้พระฤษี และเมื่อครั้งหนุมานเผากรุงลงกาไฟที่ติดหางดับไม่ได้ พระฤษีนารอดจึงดับให้....
พระฤาษีตาไฟ
ประวัติพระฤาษีตาไฟ
ประวัติ พระฤาษีตาไฟนั้นพอจะรวบรวมได้ว่าท่านมีความสัมพันธ์กับพระฤาษีตาวัว มีเรื่องเล่าดังนี้ว่า ฤาษีตาวัวเดิมท่านเป็นสงฆ์ ตาบอดทั้งสองข้างแต่ชอบเล่นแร่แปรธาตุ จนสามารถทำปรอทแข็งได้ แต่ยังไม่ได้ทำให้เกิดประโยชน์อันใดคราวหนึ่งท่านไปถาน(ส้วม)แล้วเผอิญทำ ปรอทสำเร็จตกที่จะหยิบเอาก็มิได้ด้วยตามองไม่เห็น จึงเงียบไม่บอกใคร เลยแกล้งบอกให้ศิษย์ไปหาที่ถานว่าหากเห็นเรืองแสงเป็นสิ่งใดให้เก็บมาให้ ครั้นศิษย์กลั้นใจทำตามท่านดีใจนัก ได้ปรอทมา ก็ล้างให้สะอาดแล้วใส่โถน้ำผึ้ง เอาไว้ฉันเป็นยาไม่เอาติดตัวอีกเพราะเกรงหาย ต่อมาท่านรำพึงว่า เราจะมัวมานั่งตาบอดไปใย มีของดีวิเศษอยู่(ปรอทสำเร็จ) จึงให้ศิษย์ไปหาคนตายใหม่ๆ เพื่อควักลูกตาแต่ศิษย์หาศพคนตายไม่ได้ได้แต่พบวัวนอนตายอยู่เห็นเข้าทีดี จึงควักลูกตาวัวมาแทนท่านจึงเอาปรอทแช่น้ำผึ้งมาคลึงที่ตา แล้วควักตาบอดออกเสีย เอาตาวัวใส่แทน แล้วเอาปรอทคลึงที่หนังตาด้วยฤทธิ์ปรอทสำเร็จไม่ช้าตาท่านที่บอดก็เห็นดีดัง ธรรมดา หลวงตาท่านนั้นั้นพยายามค้นเรื่องราวก็ไม่พบนจึงสึกจากพระมาถือบวชเป็นฤาษี และเรียกฤาษีตาวัวมาแต่บัดนั้นส่วนพระฤาษีตาไฟว่าท่านเป็นใครและทำไมถึง เรียกว่า “ตาไฟ” ซึ่งบางท่านให้คติว่า ท่านคงบำเพ็ญจนสำเร็จกสิณไฟและบางคนเลย ไปถึงว่าท่านเป็นภาคหนึ่งของพระศิวะเทพเจ้าสามตาของอินเดียที่พอลืมตาที่สาม ก็เกิดไฟประลัยกัปล์ การสร้างรูปท่านฤาษีตาไฟก็เลยทำเป็นสามตา โดยตาที่สามนั้นมีเคล็ดว่า ต้องทำตาหลับห้ามเปิดตาที่สาม มิฉะนั้นผู้ใดมีไว้บ้านเรือนจะไม่เป็นสุขด้วยอานุภาพตาไฟที่ลืมแล้วนั่นเอง ปรากฏในพิไชยสงครามที่ว่า “ขอพระศรีสุทัศน์เข้ามาเป็นดวงใจ พระฤาษีตาไฟเข้ามาเป็นดวงตา ” ที่นิยามความหมายชัดเจนถึงตบะอำนาจ ในทางลัทธิไสยศาสตร์ พระฤาษีตาไฟเป็นครูใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับฤทธิ์อำนาจโดยตรง มีการกำหนดพิธีกรรมสำคัญ มากมายอย่างยันต์ฤาษีตาไฟ พระคาถา และเชื่อว่าท่านมีอิทธิฤทธิ์สูงมาก ขนาดดลบันดาลเรื่องเหลือวิสัยปกติให้เป็นไปได้เสมอๆ การบูชาพระฤาษีตาไฟ นิยมนำน้ำสะอาดตั้งบูชาไว้ด้านหน้าเสมอแบบมีเคล็ดว่าให้เกิดความร่มเย็นโดย ถือว่ารูปท่านเป็นแก้วสารพัดนึกอำนวยอิทธิคุณให้สำเร็จดังมโนปรารถนาดังตำรา ยันต์พระฤาษีตาไฟที่บอกอุปเท่ห์ว่า “ใครมีไว้ไม่อับจนเลย”
คาถาบูชาฤาษีตาไฟ
นะโม3จบ
อิ ติปิโสภะคะวา อะระหังสัมมา สัมพุทธโธวิชชา จะระนะสัมปันโน สุขโตโลกะวิทูร อนุตะโร ปุริสะธัมมะสาระทิ สัตสาเท วะมะนุศสานังพุทโธ ภะคะวาติ 3จบ
เเล้วต่อด้วย คาถาฤาษีตาไฟ
นาโคชิริยะ อิติกะถานัง สาระสะนะพุทโธ พระฤษีสิทธิอาคะตะสิทธิโต พะภะคะสติโต มะนะสะสีตะโต สะวาหะฯ 9จบ
ฤาษีตาวัว
ฤาษีตาวัว นั้นเดิมทีเป็นสงฆ์ตาบอดทั้งสองข้าง แต่ชอบเล่นแร่แปรธาตุ จนสามารถทำให้ปรอทแข็งได้
แต่ยังไม่ทันใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างไร ก็เอาไปทำหล่นตกถาน (ส้วมของพระตามวัด)<# 1
By หมอยา
On 2017-07-31 08:11:31พ่อแก่ หรือพระฤาษี ถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนในแวดวงศิลปะแขนงต่าง ๆ ล้วนนิยมเคารพนับถือบูชา เนื่องด้วยเกิดจากความเชื่อที่ว่าในอดีต พ่อแก่ หรือพระฤาษีได้เป็นผู้นำเอาศิลปะ แขนงต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการร้องรำทำเพลง หรือแม้แต่การร่ายรำ นาฏศิลป์ต่าง ๆ มาถ่ายทอดให้แก่มนุษย์ได้รับรู้ความงาม ความอ่อนช้อยของศิลปะ รู้จักความอ่อนโยน รู้จักรัก รู้จักเมตตา และการให้อภัย ก่อให้เกิดความสุขแก่มวลมนุษยชาติ ดังนั้นศิลปิน หรือผู้เกี่ยวข้องในศิลปะทุกแขนง ในประเทศไทยจึงได้เคารพบูชาพ่อแก่ หรือครูฤาษีว่าเปรียบดังบรมครูแห่งศาสตร์ของการแสดง เมื่อได้บูชาแล้วจะก่อให้เกิดศิริมงคล มีความเจริญก้าวหน้าในด้านการงาน มีเสน่ห์ เมตตามหานิยมในตัว
ความเป็นมาของพ่อแก่
พ่อแก่, พระฤาษี หรือบางครั้งก็เรียกกันว่า ครูฤาษี ถือเป็นบรมครูแห่งศาสตร์ของการแสดง ตามตำนานกล่าวไว้ว่า พระฤาษีมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 108 องค์ ปางเสมอเถรถือว่าเป็นปางที่มีฤทธิ์มากที่สุดในบรรดาทั้ง 108 องค์ คำว่า ฤาษี มาจากคำว่า ฤาษิ แปลว่า ผู้เห็นด้วยความรู้พิเศษอันเกิดจากฌาน ซึ่งสามารถแลเห็นอดีตปัจจุบัน และอนาคตได้ บางครั้งก็เรียกพ่อแก่หรือฤาษีว่า
"ตฺริกาลชฺญ" แปลว่า ผู้รู้กาลทั้งสาม นอกจากนี้พระฤาษียังถือว่าเป็นผู้ประทานสรรพวิชาความรู้ ทั้งมวลแก่มนุษยชาติ เนื่องด้วยตำราทางโหราศาสตร์ และตำราทางเทววิทยา กล่าวไว้สอดคล้องกันว่า พระพฤหัสบดีถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้เป็นอาจารย์แห่งสรรพวิชาความรู้ทั้งมวล
วันครู
เนื่องด้วยพระอิศวรมหาเทพ ร่ายพระเวทให้ฤาษี 19 ตน ป่นเป็นธุลี แล้วห่อด้วยผ้าสีแก้วไพฑูรย์ ประพรมด้วยน้ำอมฤต บังเกิดเป็นเทวราช มีสีกายดั่งแก้วไพฑูรย์ มีวิมานบุษราคัม ทรงกวางทองเป็นพาหนะ รักษาเขา พระสุเมรุด้านทิศตะวันตก มีร่างกายแสดงด้วยสัญลักษณ์ของฤาษีจึงมีปัญญาบริสุทธิ์ เฉลียวฉลาด พูดจาไพเราะเสนาะหู เป็นอาจารย์แห่งสรรพวิชาความรู้ทั้งมวลรวมถึงเป็นอาจารย์ของเหล่า เทพเทวดา จึงให้ถือว่าวันพฤหัสบดีอันแสดงด้วยสัญลักษณ์ของฤาษีเป็นวันครูจึงมีการไหว้ครูกัน ในวันนี้ ซึ่งมีสืบทอดมาจนถึงยุคปัจจุบัน
ฤาษีตนแรกจริงแล้ว คือ พระพรหมนั่นเอง ครับ สังเกตได้จากภาพเขียนของอินเดีย นิยมเขียนรูปพระพรหมเป็นพระฤาษีไว้หนวดเครายาวขาวโพลน นุ่งห่มหนังเสือ เพราะศาสนาพราหมณ์ นั้น ถือกำเนิดมาจากพระพรหม นอกจากนี้พระฤาษียังเป็นสื่อกลางถ่ายทอดพระเวทมาจากพระผู้เป็นเจ้าอีกทอดหนึ่ง เรื่องราวของพระพรหม และพระฤาษีในศาสนาพราหมณ์จึงเกี่ยวข้องกันอย่างแนบแคว้น ส่วนพระศิวะนั้น พระองค์ก็เป็นหัวหน้าฤาษีทั้งมวล ด้วยการบำเพ็ญตบะญาณแผดเผากิเลส และแต่งกายอย่างสมถะ พราหมณาจารย์ จึงยกย่องให้เป็นเจ้าแห่งฤาษีและเหล่ามุนี ทั้งมวล ครับ
ฤาษี แปลว่า ผู้มีปัญญาอันเกิดจากพระผู้เป็นเจ้า แบ่งชั้นดังนี้
- พรหมฤาษี
- เทพฤาษี
- ราชฤาษี
- มนุษย์ฤาษี
ส่วนนักบวชอินเดีย แบ่งดังนี้
- สิทธา ฤาษีที่มีคุณธรรม สถิตอยู่ตามเทือกเขาและตามถ้ำ
- โยคี ผู้สำเร็จ หรือกำลังศึกษาด้านโยคะกรรม เที่ยวทรมานตนตามป่าเขา
- มุนี พราหมณ์ทีบำเพ็ญตบะธรรมด้วยความเพียร จนบรรลุซึ่งปัญญา และความรู้
- ดาบส ผู้บำเพ็ญตบะธรรม ทรมานกาย
- ชฎิล นักบวชที่ชอบเกล้ามุ่นมวยผมแบบชฎา ไว้หนวดเคราอยู่ตามป่าเขา
- นักสิทธิ์ ผู้ทรงศีลกึ่งเทพ กึ่งมนุษย์ มีคุณธรรม ยืดมั่น สัจจะ วาจา อาศัยในดินแดนลี้ลับ คอยช่วยมนุษย์คนดีที่เดือดร้อน
- นักพรต ผู้ทรงศีลบริสุทธิ์ เคร่งครัด มีอิทธิฤทธิ์ แต่ไม่โอ้อวด
- พราหมณ์ นักบาวชที่ปฏิบัติบูชา และสละทางโลมาบำเพ็ญตบะ ประกอบพิธีทางศาสนาพราหมณ์ อยู่เป็นหมู่คณะ ตามเทวสถาน, เทวาลัย
ฤาษีมี 5 ประเภท
- มหาฤาษี ทรงอิทธิฤทธิ์สูง ได้แก่ ฤาษีอิศวร ฤาษีนารายณ์ ฤาษีพิฆเนศ
- พรหมฤาษี บำเพ็ญตบะสูงสุดเกิดเป็นพรหม(ฤาษีชั้นพรหม) ฤาษีพรหมบุตร , ฤาษีพรหมา , ฤาษีพรหมประสิทธิ์ ที่ขึ้นต้นว่าพรหม ฯลฯ
- ฤาษีชั้นเทพ เทพฤาษี ทรงอิทธิฤทธิ์ บารมีสูง ได้แก่ ฤาษีเพชรฉลูกัณฑ์ ฤาษีปัจสิงขร ฤาษีตาวัว ฤาษีตาไฟ ฤาษีบรมโกฏิ ฤาษีกไลยโกฏ ฤาษีนาเรศร์ ฯลฯ
- ราชฤาษี ฤาษีระดับเจ้าฤาษี บำเพ็ญตบะอย่างเคร่งครัด ฤาษีสัตยพรต ฤาษีชนกจักรวรรดิ
- นรฤาษี (มนุษย์ฤาษี) บำเพ็ญตบะขั้นพื้นฐานจนบารมีสูง ฤาษีโกเมน ฤาษีลูกประคำ ฤาษีโคบุตร ฤาษีโคดม ฯลฯ
- อสูรฤาษี (กึ่งยักษ์กึ่งฤาษี) ฤาษีพระพิราพ ฤาษีพิรอด ท้าวเวสสุวรรณ ท้าวหิรัญพนาสูร อนันตยักษ์ ท้าวหิรัญยักษ์ ประเทศจีน เรียกนักพรต ว่า เซียน ก็คือฤาษี ประเทศเราครับ
ขออนุโมทนา ท่านตาแว่นบ้านดาบ(อาศรมรวมเทพ)ในข้อมูลครับพระฤาษีโคดม
เดิม เป็นกษัตริย์เมืองสาเกต เกิดความเบื่อหน่ายในราชสมบัติจึงออกบวชอยู่เป็นเวลานานจนหนวดเครายาวรุงรัง ถึงกับมีนกกระจาบป่าสองตัวผัวเมียมาทำรังอาศัยอยู่ วันหนึ่งนกกระจาบป่าทะเลาะกันโดยนางนกกระจาบกล่าวหาอีกฝ่ายว่าไม่ซื่อสัตย์ ต่อตน นกกระจาบผู้กล่าวว่า ถ้าตนไม่ซื่อสัตย์จริง ขอให้บาปของพระฤาษีโคดมจงตกอยู่กับตนทั้งหมดเถิด ฤาษีสงสัยจึงถามว่าตนมีบาปอะไรอยู่ นกกระจาบป่าตอบว่าเพราะพระฤาษีไม่มีลูกสืบสกุลที่จะปกครองบ้านเมืองต่อไป พระฤาษีจึงทำพิธีชุบหญิงสาวคนหนึ่งขึ้นมาจากกองไฟให้ชื่อว่า นางกาลอัจนา แล้วอยู่กินกับนางจนให้กำเนิดบุตรสาวคนหนึ่งชื่อนางสวาหะ วันหนึ่งพระอินทร์อยากสร้างทหารเอกให้กองทัพของพระราม (อย่างที่เล่าไว้ก่อนหน้านี้) ต่อมาพระอาทิตย์ก็มีความคิดเช่นเดียวกับพระอินทร์ จนนางกาลอัจนาให้กำเนิดบุตรชายทั้งสอง โดยที่พระฤาษีโคดมไม่รู้และเข้าใจว่าเด็กทั้งสองเป้นลูกของตน
อยู่ มาวันหนึ่งพระฤาษีพาลูกทั้งสามไปอาบน้ำ โดยอุ้มลูกชายคนโตขึ้นขี่หลัง อุ้มลูกชายคนเล็กไว้ทางขวา และจูงมือจูงลูกหญิงให้เดินไปด้วยมือซ้าย นางสวาหะเกิดความน้อยใจจึงเดินบ่นจนไปถึงท่าน้ำว่าพ่อไปหลงรักลูกคนอื่นทั้ง อุ้มและใ ห้ขี่หลัง ส่วนลูกของตนเองให้เดินไปเอง.. ฤาษีเกิดความสงสัยจึงถามนางสวาหะ นางจึงเล่าความจริงให้ฟัง ฤาษีโคดมอยากรู้ว่าคนไหนเป็นลูกของตนจึงทำพิธีเสี่ยงาทยโดยโยนเด็กทั้ง สามคนออกไปกลา งน้ำ แล้วอธิษฐานว่า ถ้าเด็กคนไหนเป็นลูกของตนก็ให้ว่ายน้ำกลับมา ถ้าเป็นลูกของคนอื่นก็ให้ว่ายน้ำข้ามฝั่งไปแล้วให้กลายเป็นลิงเข้าไปอยู่ใน ป่า ดังนั้นเด็กชายทั้งสองจึงกลายเป็นลิงเข้าไปอยู่ในป่าดังคำอธิษฐาน
หนังสือรามเกียรติ์บทพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 1 บรรยายไว้ดังนี้
"แม้นว่าสามเจ้านี้เป็นเนื้อ เชื้อสายโลหิตของข้า
จะทิ้งออกไปกลางคงคา จงว่ายกลับมาทันใด
แม้นว่าเป็นลูกชายอื่น อย่าให้ว่ายคืนเข้ามาได้
จงเป็นสวาวานรไพร เสี่ยงแล้วขว้างไปทันที
แต่นางสวาหะผู้ธิดา กลับว่ายมาหาพระฤาษี
สองกุมารนั้นข้ามวารี เป็นกระบี่เข้ายังพนาลัย"
ส่วนท่านอยู่ในชั้นใด ผมไม่ทราบครับ สาธุ
ตอนที่ 3 กำเนิดหนุมาน
ที่ กรุงสาเกด ท้าวโคดมซึ่งเป็นกษัตริย์ปกครองเมืองแต่ไร้ทายาทสืบทอด เบื่อหน่ายโลกจึงออกบวชเป็นฤาษีโคดมอยู่ในป่า บำเพ็ญตบะปล่อยหนวดเครารุงรังจนมีนกกระจาบสองผัวเมียมาอาศัยเป็นที่ทำรัง หลับนอน
วันหนึ่งนกกระจาบตัวผู้ออกไปหากินทว่าติดอยู่ในกลีบดอกบัว ทั้งคืน ต้องรอจนรุ่งสางเมื่อดอกบัวผลิบานจึงบินออกมาได้ ครั้นกลับมาถึงรังก็มีปากเสียงกันเพราะแม่นกกระจาบไม่เชื่อว่าพ่อนกติดอยู่ ในดอกบัวจ ริง ฝ่ายพ่อนกจึงร้องว่า “หากทั้งหมดที่ข้าพูดมานั้นเป็นเรื่องโกหก ขอให้บาปทั้งมวลของพระฤาษีโคดมจงตกเป็นของข้าผู้เดียว”
พระฤาษีได้ ยินก็สะดุ้งโหยง ถามกลับไปว่า “ฉันมีบาปตรงไหน ทุกวันนี้ฉันก็นั่งบำเพ็ญเพียรภาวนารักษาศีล ร่างกาย หนวดเคราของฉันก็ให้พวกเธอได้ใช้เป็นที่พักพิง บอกฉันหน่อยสิ ว่าฉันมีบาปมหันต์อย่างไร”
พ่อนกจึงตอบไปว่า “ท่านเป็นคนบาปเพราะท่านไม่มีโอรสธิดาไว้เป็นทายาทสืบทอดราชบัลลังก์ และการที่ท่านละทิ้งบ้านเมืองมาอยู่ป่าเช่นนี้ก็เท่ากับว่า ท่านได้ทิ้งนครของท่านไร้กษัตริย์ปกครอง อย่างนี้จะเรียกว่าท่านเป็นคนบาปได้หรือไม่ล่ะท่านฤาษี
พระฤาษีโคดม ครุ่นคิดสักครู่ก็รู้ว่าจริงดั่งคำของพ่อนก บังเกิดความรู้สึกเหนื่อยหน่ายต่อเพศฤาษี จึงตั้งพิธีบริกรรมหน้ากองไฟ เนรมิตสาวงามชื่อนางกาลอัจนาขึ้นมาเพื่ออยู่กินกันฉันผัวเมีย จนได้ลูกสาวคนหนึ่งชื่อนางสวาหะ
วันหนึ่งขณะพระโคดมเข้าป่าไปหาผล ไม้ตามปกติทิ้งนางกาลอัจนาเฝ้าอาศรมผู้เดียว พระอินทร์เสด็จมาอยู่กับนางกาลอัจนาเพื่อให้เกิดโอรสมีฤทธิ์ มีบุตรรูปงามผิวสีเขียว ฝ่ายพระอาทิตย์ก็เสด็จมาอยู่กับนางกาลอัจนาบ้างจนนางคลอดบุตรเป็นเด็กชายรูป งามผิวสี แดง
พระโคดมนั้นคิดว่าเด็กชายทั้งสองเป็นลูกของตนก็เฝ้าเลี้ยงดูทะนุถนอมอย่างดี จนแทบจะลืมนางสวาหะลูกสาวคนโตเลยทีเดียว
อยู่ มาวันหนึ่งพระโคดมเกิดร้อนอยากอาบน้ำจึงพาลูกทั้งสามไปริมฝั่งแม่น้ำโดยอุ้ม ลูกช ายคนเล็กไว้ข้างเอว ลูกชายคนกลางให้ขี่หลัง ส่วนลูกคนโตซึ่งคือนางสวาหะท่านจูงด้วยมือซ้ายเพราะเห็นว่าโตแล้ว
นาง สวาหะซึ่งรับรู้เรื่องราวทุกอย่างมาตลอดจึงบ่นขึ้นมาว่า “เชอะ…ทีลูกของคนอื่นล่ะเอาอุ้มชูให้ขี่หลัง แต่กับลูกของตัวเองแท้ๆกลับให้เดินเอาเอง
พระโคดมได้ฟังก็เกิดความ สงสัยบังคับให้นางสวาหะเล่าความจริงมาทั้งหมด เมื่อรับทราบเรื่องราวก็ได้อธิษฐานว่า “เราจะจับพวกเจ้าทั้งสามโยนทิ้งลงแม่น้ำ หากใครไม่ใช่ลูกเราก็จงกลายเป็นลิงขึ้นฝั่งเข้าป่าไป ส่วนลูกของเราก็ขอให้ว่ายน้ำกลับมาหาเรา
เมื่อกล่าวจบก็จับลูกทั้ง สามโยนลงแม่น้ำ มีเพียงนางสวาหะว่ายกลับมาได้คนเดียว ส่วนลูกชายทั้งสองกลายเป็นลิงสีเขียวและสีแดงหายลับเข้าป่าไป
พระโคดมกลับมายังอาศรมด้วยความโกรธจัดจึงสาปนางกาลอัจนากลายเป็นหินรอพระนารายณ์อวตา รมาขนไปทิ้งทะเลเมื่อจะข้ามไปกรุงลงกา
นาง กาลอัจนาคิดแค้นสวาหะลูกสาวของตนที่ไม่รู้จักบุญคุณแม่จึงสาปให้ยืนตีนเดียว มือเห นี่ยวต้นไม้ อ้าปากกินลมอยู่ที่เชิงเขาจักรวาล จนกว่าจะออกลูกเป็นลิงจึงพ้นคำสาป
ฝ่ายพระอินทร์และพระอาทิตย์ซึ่ง เฝ้าดูเหตุการณ์ก็นึกสงสารในชะตากรรมของลูกชายจึงเนร มิตเมืองขีดขินให้โอรสทั้งสองได้อยู่ โดยโอรสพระอินทร์เป็นพญากากาศ (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นพาลี) ตัวสีเขียว ส่วนโอรสพระอาทิตย์นั้นได้แต่งตั้งเป็นอุปราชมีชื่อว่า สุครีพ ตัวสีแดง
เวลา ผ่านไปนานปีพระอิศวรเห็นนางสวาหะยืนอยู่ก็รู้สึกสงสารจึงแบ่งกำลังให้พระพาย ซัดเ ข้าปากนางสวาหะ จนนางตั้งครรภ์อยู่ 30 เดือน ก็คลอดบุตรออกมาเป็นวานรเผือกเผ่นกระโจนออกมาทางปาก มีลักษณะพิเศษคือ มีคทาเพชรเป็นสันหลัง ตรีเพชรเป็นกาย จักรแก้วเป็นศีรษะ มีเขี้ยวแก้ว หาวเป็นเดือนเป็นดาว ฤทธิ์เดชร้ายกาจ รบใครก็ชนะตลอดกาล วานรเผือกตัวนี้มีชื่อว่า หนุมาน ด้วยความซุกซนไปก่อความเดือนร้อนบนสวรรค์จึงถูกสาปว่าเมื่อต่อสู้กำลังจะลด ลงครึ่งหน ึ่ง และจะพ้นคำสาปต่อเมื่อพระนารายณ์มาลูบหลัง
วันหนึ่ง พระพายพ่อของหนุมานได้พาไปเข้าเฝ้าพระอิศวรบนเขาไกรลาส พระอิศวรทรงสอนคาถาแปลงกาย หายตัว และวิชาอยู่ยงคงกระพัน อีกทั้งยังประทานพรให้มีอายุยืนตลอดกาลแม้ถูกฆ่าก็ฟื้นได้เสมอ จากนั้นจึงเรียกพาลีและสุครีพมาเข้าเฝ้า แนะนำให้รู้จักกันแล้วมอบหนุมานให้พาลีนำไปเลี้ยงพร้อมกันนั้นได้มอบชมพูพาน ซึ่งเกิดจากเหงื่อไคลที่พระองค์ทรงชุบเนรมิตให้ไปเป็นโอรสด้วย
อยู่ มาวันหนึ่งเขาพระสุเมรุเอียงทรุดลง แล้วได้พาลีกับสุครีพมาช่วยทำให้เขาพระสุเมรุตั้งกลับสู่ดังเดิม พระอิศวรจึงประทานพรให้พาสีพร้อมตรีเพชรและให้พร “เมื่อใดที่เจ้ารบกับศัตรู ศัตรูจะกำลังลดไปครึ่งหนึ่งแล้วไปเพิ่มกำลังในตัวเจ้า ศัตรูทุกคนจะรบแพ้พาลี” นอกจากนี้ได้ฝากผอบซึ่งมีนางดาราอยู่ภายในให้นำไปฝากสุครีพด้วย แต่สุดท้ายพาลีแอบเปิดผอบกลางทางเจอนางดาราเข้าก็หลงรักทันที จึงริบนางดาราเอาไว้เป็นเมียเสียเองhttp://www.meeboard.com /view.asp?user=thanayus
พระฤาษีนาคา
ปู่ฤาษีนาคา ฤาษีผู้มีตะบะเดชะการบำเพ็ญเพียรจนสามารถจำแลงแปลงการเป็นครึ่งคนครึ่งนาค ได้ เป็นที่เคารพนับถือกันมากในปวงชน ท่านมีเมตรตาจิตสูงชอบช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก และท่านยังเปนผู้มีจิตโอนอ่อนมาทางพระพุทธศาสนา ท่านยังเป็นผู้ที่ปกป้องดูแลคุ้มครองพระพุทธศาสนา หากบุคคลใดผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนาแล้วฤาษีนาคจักปกป้องคุ้มครองดูแล ประทานเงินทองอู่เนืองๆ
**คาถาบูชาปู่นาคา**
ตั้ง นะโม 3 จบ
นะติตัง พญามะ นาคายะ อภินัง นาคา สาธุโนภันเต ยะมะ ยะมะ
ผู้ใดมีปู่ฤาษีนาคาไว้บูชา จักมีโชคลาภ เงินทองมิขาดมือ เจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน มีความสำเร็จสมความปรารถนา ทุกประการ
ตำนานพระฤาษีโภคทรัพย์ ๕ พระองค์
ตำนานพระฤาษีโภคทรัพย์ ๕ พระองค์
ใน สมัยอดีตกาล พระเจ้าจักรพรรดิทัลหเนมิ เมื่อจักรแก้วอันเป็นทิพย์ถอยเคลื่อนไป พระองค์จึงทรงผนวชเป็นฤาษีพร้อมด้วยบริวารเป็นอันมาก เมื่อผนวชแล้วมีนามว่ามีพระนามว่า พระราชฤาษีจักรพรรดิ ทัลหเนมิ พระราชฤาษีจักรพรรดิเคยฟังธรรมของ พระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่อมาเมื่อผนวชเป็นราชฤาษีแล้ว ทรงสำเร็จอานาคามิมรรค อานาคามิผลเมื่อสิ้นชีพแล้ว อุบัติอยู่ในสุธาวาสพรหมโลก พระราชโอรสองค์ใหญ่ ของพระเจ้าจักรพรรดิทัลหเนมิ อำมาตย์ และมหาอำมาตย์ ทรงถือเพศเป็นฤาษี ขณะพระราชา ประพฤติจักกวัตติวัตร และคณะอำมาตย์ ประพฤติธรรมเป็นประโยชน์ในปัจจุบัน และประโยชน์ในภายหน้า พระราชา และคณะอำมาตย์ทั้ง ๔ ประพฤติธรรมได้ ๓ วัน สรีระที่เคยทรวดทรงดี ก็กลับกลายเป็น สรีระที่อ้วนพี สมลักษณะเจ้าแห่งโภคทรัพย์ พระราชโอรสองค์ใหญ่ ของพระเจ้าจักรพรรดิทัลหเนมิ เป็นพระฤาษี นามว่า พระฤาษีธรรมราชาบดี อำมาตย์ทั้ง ๔ แปลงเพศเป็นฤาษี มีนามดังนี้ อำมาตย์คลังทอง มีนามว่า พระฤาษีคลังทอง อำมาตย์คลังแก้วแหวนแปลงเพศเป็นฤาษีนามว่า พระฤาษีคลังแก้วแหวน(พระฤาษีโภคทรัพย์) อำมาตย์คลังธัญญาหาร แปลงเพศเป็นฤาษีนามว่า พระฤาษีธัญญาหาร(พระฤาษีโภสพ) อำมาตย์คลังสินค้า แปลงเพศเป็นฤาษีนามว่า พระฤาษีคฤหบดีฤาษีทั้ง ๕ ตนได้ฟังธรรมจาก พระราชฤาษีจักรพรรดิทัลหเนมิ พระฤาษีทั้ง ๕ เป็นที่นับถือของคนทั่วไป ผู้คนทั้งหลายไปฟังธรรมจากพระฤาษีทั้ง ๕ ตนนี้ทุกวัน ๑๕ ค่ำในจักกวัตติวัตรธรรม ธรรมที่เป็นประโยชน์ในปัจจจุบัน ธรรมที่เป็นประโยชน์ในภายหน้า ธรรมที่ทำให้ทรัพย์ไหลเข้าธรรมที่ทำให้ทรัพย์ไหลออก เหตุแห่งความเสื่อม เหตุแห่งความเจริญ บุคคลทั้งหลายได้ฟังธรรมจากพระฤาษีทั้ง ๕ ตนแล้ว ย่อมมีแต่ความเจริญ ในกาลภายหลังพระฤาษีทั้ง ๕ ตน ได้สำเร็จอานาคามิมรรค อานาคามิผล
http://www.meeboard.com/list.asp?user=thanayus25
ฤาษีศิลาท
เป็น ฤาษีในชั้นดิน เป็นบิดาของ(พระนันทิน หรืออีกนามหนึ่งคือ พระนันทิเกศวร ผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะปติของ องค์พระสดาศิวะมหาเทพ) ฤาษีศิลาท เป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับว่า มีบุตรอันยอดเยี่ยม และยิ่งใหญ่ เป็นอภิชาตบุตร อันหาที่เสมอเหมือนมิได้ ฤาษีศิลาท มีรูปกายเป็นมนุษย์ สูงใหญ่
ฤาษีกษิโรธ
ฤาษีกษิโรธ
เป็นฤาษีในชั้นเทพฤาษี ถือได้ว่าเป็นเสมือนบิดาของ(องค์พระมหาลักษมีมาตาเทวีเจ้า ผู้เป็นพระชายาในพระมหาวิษณุผู้เป็นเจ้า) เป็นผู้สันทัดในเรื่องความอุดมสมบูรณ์ ความมั่งคั่ง ร่ำรวย ด้วยสมบัติ อันมากมาย ฤาษีกษิโรธ ภาคนี่มีรูปเป็นมนุษย์ ศีรษะเป็นพญานาค ผิวกายสุกสว่างเป็นสีขาว นุ่งห่มด้วยเสื้อผ้าเครื่องประดับล้ำค่าดั่งกษัตริย์เป็นสีขาว คล้องประคำไข่มุกสีขาว
พระศุกร์ฤาษี
1 องค์พระศุกกราอาจารย์(พระ-ศุก-กรา-อา-จา-ระ-ยะ)
หรือ ฤาษีศุกร์ และอีกนามหนึ่งคือครูอสูร ผู้ซึ่งเป็นคุรุ หรือครูของเหล่าอสูร ยักษ์ ทั้งหลาย เป็นบุตรแห่ง(มหาฤาษีภฤคุผู้ทรงเป็นหนึ่งในเจ็ดมหาสัปตะฤาษีผู้ยิ่งใหญ่ ทั้ง7) ฤาษีศุกร์ เชี่ยวชาญในมนตรา วิชา ทุกแขนง ที่สันทัดเป็นพิเศษคือ การกำหนดปลุกฟื้นคืนชีพและการทำลายชีวิตศัตรูแบบช้าๆด้วยความทรมานด้วยสาร พักศาตราแล ะโรคา การกดดวงชะตาให้ตกต่ำไม่มีผู้ค้ำจุน หรือการทำลายฐานดวงให้ชีวิตพลัดพรากจากสิ่งที่ตนรัก ในทางกลับกัน ก็เชี่ยวชาญในการแก้ไขเช่นเดียวกันด้วย พระฤาษีศุกร์ มีลูกศิษย์คนสำคัญๆยกตัวอย่างเช่น โสมเทพ(พระจันทร์) ราหู (พระราหู)เป็นต้น ฤาษีศุกร์ถือเป็นฤาษีที่อยู่ในศักดิ์ เทพฤาษี อันเป็นชั้นที่ 2 ของระดับชั้นของฤาษีเบื้องบน(ฤาษีแบ่งเป็นฤาษีเบื้องบนคือชั้นฟ้าและฤาษี เบื้องล่างค ือชั้นดิน) ในชั้นที่แรกสุดของฤาษีชั้นฟ้าคือราชฤาษี ชั้นที่2คือเทพฤาษี ชั้นที่3คือพรหมฤาษี และชั้นสูงสุดคือมหาฤาษี
พระฤาษีพรหมเมศ
ท่าน มีรูปร่างลักษณะเหมือนอย่างกับพระพรหมโดยทั่วๆไป คือ มี 4 หน้า ส่วนตรงเศียรด้านบนก็เป็ฯกรวยเช่นเดียวกันกับเศียรของพระฤาษีทั้งหลาย มี 8 กร หน้าสีทอง ผิวกายสีทองนุ่งด้วยผ้าโขมพัตถ์
สำหรับพระฤาษีพรหมเมศร์ ผู้นี้ท่านทรงมีอิทธิฤทธิ์และปาฏิหาริย์อย่างมากมาย ท่านชอบช่วยเหลือมวลมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลายโดยทั่วไป ด้วยอัธยาศัยไมตรีอันดีงามของท่านอย่างสุดซึ้งครับ
พระนาฏมุนี
พระนาฏมุนี(อ่านว่า พระ-นา-ตะ-มุ-นี)
เป็น บรมครูฤาษีทางด้านสาขานาฏศิลป์ การฟ้อนรำ รูปลักษณ์ที่สร้างเป็นหัวโขน (ศรีษะครู)จะเป็นหน้าฤาษี หรือ"พ่อแก่"ก็สุดแล้วแต่จะเรียกนะคะ หน้าสีน้ำตาลอมม่วง สวมลอมพอกฤาษี ท่านเป็นบรมครูสอนทางด้านนาฏศิลป์การฟ้อนรำ ท่านคิดประดิษฐ์ท่ารำต่างๆ ภายหลังท่านได้ออกบำเพ็ญพรต เป็นฤาษีก็เพราะความเสื่อมทรามทางจิตใจของลูกศิษย์ที่คอยแต่จะชิงดีชิงเด่น ห้ำหั่นกั นเอง การบำเพ็ญเพียรของท่านนั้นทำโดย นั่งตากแดดทั้งวัน ตากน้ำค้างทั้งคืน ตัดขาดจากสำผัสภายนอกทั้งหมดโดยอาศัยฌานสมาบัติ ร่างกายคงอยู่ได้ด้วยฌาน ด้วยเหตุนี้ท่านจึงมีวรรณะสีคล้ำ ผิวสีทองแดงศิลปินรุ่นต่อๆมาจึงสร้างศรีษะครูเป็นพระฤาษีหน้า สีน้ำตาลอมม่วง
พระฤาษีนารอด
พระฤาษีนารอด เป็นครูของฤาษีทั้งปวง ทรงกำเนิดจากเศียรที่๕ของพระพรมธาดา ทรงเพศเป็นฤาษี พระฤาษีนารอดถือว่าเป็นฤาษีองค์แรกของไตรภูมิ ไม่ว่าจะมีการบูชาสิ่งใด หากไม่มีการเชิญท่านแล้ว พิธีกรรมนั้นมักไม่สมบูรณ์
ฤๅษีนารอด พระนารท หรือ พระนารอด หรือ พระนาระทะ แล้วแต่จะเรียก เป็น1 ใน พระประชาบดี (เทวฤษีที่เป็นพระผู้สร้าง) ๑๐ องค์ คือ เป็นผู้ประดิษฐ์ "วีณา" -- พิณน้ำเต้า พระฤๅษีนารทบำเพ็ญพรตอยู่เชิงเขาโสฬส นอกเมืองลงกา เมื่อคราวหนุมานไปถวายแหวนแก่นางสีดาได้เหาะเลยเมืองลงกาเพราะไม่รู้จักทาง ไปพบกันเข้าจึงเกิดการประลองฤทธิ์กัน แต่หนุมานเกิดพ่ายแพ้ต่อฤทธิ์พระฤๅษีจึงยอมอ่อนน้อม และเมื่อคราวหนุมานไปเผากรุงลงกาไฟที่ติดหางหนุมานจะดับอย่างไรก็ไม่สามารถ ดับได้ หนุมานจึงไปหาพระฤๅษีนารทให้ช่วยดับไฟให้ พระฤาษีนารอด เป็นครูของฤาษีทั้งปวง ทรงกำเนิดจากเศียรที่ ๕ ของพระพรมธาดา ทรงเพศเป็นฤาษี พระฤาษีนารอดถือว่าเป็นฤาษีองค์แรกของไตรภูมิ ไม่ว่าจะมีการบูชาสิ่งใด หากไม่มีการเชิญท่านแล้ว พิธีกรรมนั้นมักไม่สมบูรณ์ รูปลักษณ์ของท่านที่สร้างเป็นหัวโขน(ศรีษะครู)สำหรับบูชาเป็นรูปหน้าพระฤาษี หน้าปิดท อง สวมลอมพอกฤาษี มี(กระดาษ)ทำเป็นผ้าพับเป็นชั้นลดหลั่นกันไป เสียบอยู่กลางลอมพอก สิ่งที่เกี่ยวกับพระฤาษีนารอด เพิ่มเติม พระรอดเป็นพระเครื่องราง ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไม่แพ้พระสมเด็จฯ และพระนางพญา ได้ถูกขนานนามว่าเป็น " เทวีแห่งนิรันตราย " ทั้งได้แสดงคุณวิเศษทางแคล้วคลาดเป็นที่ประจักษ์มาแล้วมากมาย ตามตำนานกล่าวว่า "พระนารทฤาษี" เป็นผู้สร้างพระพิมพ์นี้ขึ้น จึงเรียกพระพิมพ์นี้ว่า "พระนารท" หรือ "พระนารอด" ครั้นต่อมานานเข้ามีผู้เรียกและผู้เขียนเพี้ยนไปเป็น "พระรอท" และในที่สุด ก็เป็น"พระรอด" อีกทั้งเหมาะกับภาษาไทยที่แปลว่า รอดพ้น จึงนิยมเรียกพระพิมพ์เครื่องรางชนิดนี้ว่า พระรอด เรื่อยมาโดย ไม่มีผู้ใดขัดแย้ง พระรอดพบในอุโมงค์ใต้เจดีย์ใหญ่วัดมหาวัน หรือที่เรียกว่า มหาวนาราม ณ จังหวัดลำพูน ซึ่งปรากฏอยู่ถึงจนปัจจุบันนี้ อนึ่ง วัดมหาวันเป็นวัดโบราณของมอญลานนาในยุคทวาราวดี ขณะที่พระเจ้าเม็งรายยกทัพมาขับไล่พวกมอญออกไปราว พ.ศ.1740 นั้น ก็พบว่าวัดนี้เป็นโบราณสถานอยู่ก่อนแล้ว ฉะนั้นจึงไม่น่ามีปัญหาใดเลยว่า พระรอดนี้ควรมีอายุ เกินกว่าพันปีเป็นแน่ แต่เพิ่งมาพบเมื่อประมาณ 50 ปีมานี่เอง พระฤษีนารอด ท่านเป็นหมอยาที่มีคาถาอาคมเก่งกล้า ทั้งยังเป็นอาจารย์รดน้ำมนต์ที่เก่งที่สุดอีกด้วยท่านมีบารมีมาก ปวงชนทั่วไปก็มักจะรู้จักพระนามของท่านแทบทั้งนั้น รูปร่างหน้าตาของท่านก็ยังมีหนวดเครายาวลงมาจากคางถึงในระหว่างอกมือถือดอก บัว ตรงด้านหน้ามีบาตรน้ำมนตร์ตั้งอยู่เป็นประจำ เก่งในทางรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ชงัดนักแล ถ้าหากผู้ใดมีความทุกข์ที่เกี่ยวกับการเจ็บไข้ได้ป่วย ก็จงบนบานศาลกล่าวกับท่านดูแล้วท่านก็จะต้องเมตตาเสด็จลงมาปัดเป่ารักษาให้ โรคภัยนั้ นหายไปในเร็ววันมักจะมีคนพูดกันทั่วไปว่า พระฤษีนารอดเป็นพี่ชายของ พระฤษีนารายณ์แต่บำเพ็ญพรตกันอยู่คนละแห่ง นานๆจึงจะได้พบกันสักครั้งหนึ่ง แต่เรื่องนี้มีความคลาดเคลื่อนอยู่ ที่จริงแล้วผู้ที่เป็นน้องชายของพระฤษีนารอดก็คือ พระฤษีนาเรศร์ มิใช่พระฤษีนารายณ์ ที่ถูกต้องก็คือ พระฤษีนาเรศร์ นี่แหละที่เป็นน้องชายแท้ๆของ พระฤษีนารอด และก็ได้บำเพ็ญตบะอย่างมุ่งมั่นอยู่กันคนละแห่ง สำหรับพระฤษีนาเรศร์นี้ ท่านเก่งในคาถาอาคมศักดิ์สิทธิ์มีเวทมนตร์ขลังเป็นที่สุด ชอบสันโดษบำเพ็ญพรตอยู่แต่ในป่าลึกๆ ไม่ค่อยชอบสมาคมกับใครเท่าใดนัก แม้แต่พี่น้องกันแท้ๆ ยังนานๆได้พบกันที พอพบกันก็จะดีใจถึงกับกอดกันแน่นด้วยความปลื้มปิติยินดีท่านที่กราบไหว้บูชา พระฤษีสอ งองค์พี่น้องก็จะเป็นมงคลอันสูง ท่านก็จะได้แผ่บารมีแห่งความเมตตามายังท่าน มาป้องปัดบำบัดรักษา และคุ้ม ครองมิให้โรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียนตลอดกาล.... พระฤษีนารอดสวมเทริดฤษี ยอดบายศรีลายหนังเสือ เป็นพระฤษีที่บำเพ็ญพรตอยู่ที่เชิงเขาโสฬสนอกกรุงลงกา เมื่อครั้งหนุมานไปถวายแหวนนางสีดา เหาะเลยกรุงลงกาไปจึงไปพบพระฤษีนารอด(ฤษีนารท) โดยบังเอิญ แล้วต่อสู้กัน หนุมานแพ้จึงยอมอ่อนน้อมให้พระฤษี และเมื่อครั้งหนุมานเผากรุงลงกาไฟที่ติดหางดับไม่ได้ พระฤษีนารอดจึงดับให้....
พระฤาษีตาไฟ
ประวัติพระฤาษีตาไฟ
ประวัติ พระฤาษีตาไฟนั้นพอจะรวบรวมได้ว่าท่านมีความสัมพันธ์กับพระฤาษีตาวัว มีเรื่องเล่าดังนี้ว่า ฤาษีตาวัวเดิมท่านเป็นสงฆ์ ตาบอดทั้งสองข้างแต่ชอบเล่นแร่แปรธาตุ จนสามารถทำปรอทแข็งได้ แต่ยังไม่ได้ทำให้เกิดประโยชน์อันใดคราวหนึ่งท่านไปถาน(ส้วม)แล้วเผอิญทำ ปรอทสำเร็จตกที่จะหยิบเอาก็มิได้ด้วยตามองไม่เห็น จึงเงียบไม่บอกใคร เลยแกล้งบอกให้ศิษย์ไปหาที่ถานว่าหากเห็นเรืองแสงเป็นสิ่งใดให้เก็บมาให้ ครั้นศิษย์กลั้นใจทำตามท่านดีใจนัก ได้ปรอทมา ก็ล้างให้สะอาดแล้วใส่โถน้ำผึ้ง เอาไว้ฉันเป็นยาไม่เอาติดตัวอีกเพราะเกรงหาย ต่อมาท่านรำพึงว่า เราจะมัวมานั่งตาบอดไปใย มีของดีวิเศษอยู่(ปรอทสำเร็จ) จึงให้ศิษย์ไปหาคนตายใหม่ๆ เพื่อควักลูกตาแต่ศิษย์หาศพคนตายไม่ได้ได้แต่พบวัวนอนตายอยู่เห็นเข้าทีดี จึงควักลูกตาวัวมาแทนท่านจึงเอาปรอทแช่น้ำผึ้งมาคลึงที่ตา แล้วควักตาบอดออกเสีย เอาตาวัวใส่แทน แล้วเอาปรอทคลึงที่หนังตาด้วยฤทธิ์ปรอทสำเร็จไม่ช้าตาท่านที่บอดก็เห็นดีดัง ธรรมดา หลวงตาท่านนั้นั้นพยายามค้นเรื่องราวก็ไม่พบนจึงสึกจากพระมาถือบวชเป็นฤาษี และเรียกฤาษีตาวัวมาแต่บัดนั้นส่วนพระฤาษีตาไฟว่าท่านเป็นใครและทำไมถึง เรียกว่า “ตาไฟ” ซึ่งบางท่านให้คติว่า ท่านคงบำเพ็ญจนสำเร็จกสิณไฟและบางคนเลย ไปถึงว่าท่านเป็นภาคหนึ่งของพระศิวะเทพเจ้าสามตาของอินเดียที่พอลืมตาที่สาม ก็เกิดไฟประลัยกัปล์ การสร้างรูปท่านฤาษีตาไฟก็เลยทำเป็นสามตา โดยตาที่สามนั้นมีเคล็ดว่า ต้องทำตาหลับห้ามเปิดตาที่สาม มิฉะนั้นผู้ใดมีไว้บ้านเรือนจะไม่เป็นสุขด้วยอานุภาพตาไฟที่ลืมแล้วนั่นเอง ปรากฏในพิไชยสงครามที่ว่า “ขอพระศรีสุทัศน์เข้ามาเป็นดวงใจ พระฤาษีตาไฟเข้ามาเป็นดวงตา ” ที่นิยามความหมายชัดเจนถึงตบะอำนาจ ในทางลัทธิไสยศาสตร์ พระฤาษีตาไฟเป็นครูใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับฤทธิ์อำนาจโดยตรง มีการกำหนดพิธีกรรมสำคัญ มากมายอย่างยันต์ฤาษีตาไฟ พระคาถา และเชื่อว่าท่านมีอิทธิฤทธิ์สูงมาก ขนาดดลบันดาลเรื่องเหลือวิสัยปกติให้เป็นไปได้เสมอๆ การบูชาพระฤาษีตาไฟ นิยมนำน้ำสะอาดตั้งบูชาไว้ด้านหน้าเสมอแบบมีเคล็ดว่าให้เกิดความร่มเย็นโดย ถือว่ารูปท่านเป็นแก้วสารพัดนึกอำนวยอิทธิคุณให้สำเร็จดังมโนปรารถนาดังตำรา ยันต์พระฤาษีตาไฟที่บอกอุปเท่ห์ว่า “ใครมีไว้ไม่อับจนเลย”
คาถาบูชาฤาษีตาไฟ
นะโม3จบ
อิ ติปิโสภะคะวา อะระหังสัมมา สัมพุทธโธวิชชา จะระนะสัมปันโน สุขโตโลกะวิทูร อนุตะโร ปุริสะธัมมะสาระทิ สัตสาเท วะมะนุศสานังพุทโธ ภะคะวาติ 3จบ
เเล้วต่อด้วย คาถาฤาษีตาไฟ
นาโคชิริยะ อิติกะถานัง สาระสะนะพุทโธ พระฤษีสิทธิอาคะตะสิทธิโต พะภะคะสติโต มะนะสะสีตะโต สะวาหะฯ 9จบ
ฤาษีตาวัว
ฤาษีตาวัว นั้นเดิมทีเป็นสงฆ์ตาบอดทั้งสองข้าง แต่ชอบเล่นแร่แปรธาตุ จนสามารถทำให้ปรอทแข็งได้
แต่ยังไม่ทันใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างไร ก็เอาไปทำหล่นตกถาน (ส้วมของพระตามวัด) เสีย จะหยิบเอามาก็ไม่ได้
เพราะตามองไม่เห็น เก็บความเงียบไว้ ไม่กล้าบอกใคร จนกระทั่งวันหนึ่ง ลูกศิษย์ไปถาน แลเห็นแสงเรืองๆ
จมอยู่ใต้ถาน ก็กลับมาเล่าให้อาจารย์ฟัง หลวงตาดีใจบอกให้ศิษย์พาไป
เห็นแสงเรืองตรงไหนให้จับมือจุ่มลงไปตรงนั้น จะเลอะเทอะอย่างไรช่างมัน
ศิษย์กลั้นใจทำตาม หลวงตาก็ควักเอาปรอทคืนมาได้
จัดแจงล้างน้ำให้สะอาดดีแล้วก็แช่ไว้ในโถน้ำผึ้งที่ท ่านฉัน ไม่เอาติดตัวไปไหนอีก เพราะกลัวจะหล่นหาย
อยู่มาวันหนึ่ง ท่านก็มารำพึงถึงสังขาร ว่าเราจะมานั่งตาบอดอยู่ทำไม
มีของดีของวิเศษอย่างนี้แล้ว ก็น่าจะลองดู