ร่างทรง


 

อาจารย์ขออนุโมทนาทุกท่านครับ ที่ได้เข้ามาเยี่ยมชมเวบองค์เทพดอทคอม บทความนี้จะเจาะลึกเรื่องร่างทรง คงต้องกล่าวถึงอดีต จนมาถึงปัจจุบันครับ การที่เกี่ยวกับร่างทรง คงไม่พ้นหนึ่งที่มีการเรียกกันว่า ทรงเจ้า อีกหนึ่งคือคนเรียกกันว่าเข้าผี โดยส่วนมากผู้ที่มีอคติจะรวมๆเหมาเป็นทรงเจ้าเข้าผี ครับ แรกๆต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนเรื่องการนับถือผี หรืออื่นๆ ในอดีต หลายๆประเทศ หลายๆชาติ มีการบูชานับถือทั้งผีและเทพต่างๆ ตามความเชื่อของท้องถิ่นนั้นๆ มีมาแต่สมัยโรมัน เทพเจ้าแห่งกรีก ดินแดนทะเลทราย ทางเอเซียก็มีมากมายที่นับถือบูชา เทพหรือผี หรืออะไรก็ตามแต่ที่เขาเชื่อมั่นกันว่าจะสามารถปกป้องเป็นขวัญกำลังใจได้ครับ ส่วนทางไทยพ่อมดหมอผีก็มีมานาน จนกระทั่งมีกำเนิดศาสนาพราหมณ์ขึ้น นับเป็นศาสนาเก่าแก่ที่สุดของโลก ศาสนาหนึ่งก็ว่าได้  ต่อมาศาสนาพราหมณ์ได้เสื่อม ความนิยมลงระยะหนึ่ง ต่อ มาได้มีการชำระความ หลักธรรมและข้อขัดแย้ง จนในที่สุด ได้มีการยกเลิกศาสนา"พราหมณ์" สรุปออกมาเป็นศาสนาในการเรียกขานทั่วไปว่า "ศาสนาฮินดู" ครับ มีประวัติความเป็นมา มากกว่า 3000 ปี ดังนั้นจึงพบว่า ศาสนาพุทธเกิดในช่วงหลังศาสนาฮินดูก็ว่าได้ครับ ชาวฮินดูเชื่อว่า คัมภีร์พระเวทย์ นั้นได้สืบทอดทางพระฤาษีซึ่งรับการถ่ายทอดโดยตรงมาจากพระเจ้าหรือเทพเจ้า ครับ ในที่นี้ มี4พระเวทย์

1. ฤคเวท (Rigveda) เป็นคัมภีร์ที่เกี่ยวเนื่องกับบทสวดต่างๆ เพื่อสรรเสริญพระเจ้า ฤทธิ์เทวะและธรรมชาติ กล่าวถึงการสร้างโลก เป็นคัมภีร์ที่เก่าแก่ที่สุด มีบทสวดถึง 1,028บท
2. ยชุรเวท (Yajureda) เป็นคัมภีร์ที่เกี่ยวกับบทร้อยกรองบวงสรวงต่างๆ ใช้ในพิธีการบูชายัญที่เรียกว่า ยัญพิธีในทางศาสนา
3. สามเวท (Samveda) เป็นคัมภีร์ที่เกี่ยวกับกลศาสตร์รวมทั้งสังคีต บทสวดมนต์ สำหรับประกอบพิธีกรรมต่างๆ ของประชาชนทั่วๆ ไป
4. อาถรรพเวท (Atharvaveda) เป็นคัมภีร์ที่เกี่ยวกับเวทมนต์ คาถาต่างๆ

โดยแบ่งเป็นสองนิกายในศาสนาฮินดูคือ  โศวะนิกาย (นับถือพระศิวะเป็นหลัก)
                                                     ไวศณวะนิกาย (นับถือพระวิษณุเป็นหลัก)
โดยความเชื่อว่า พระเจ้าทั้งสองจะสามารถเชื่อมโยงมายังมนษย์โลกโดยการผ่านทาง 
       พระพรหมา โดยการสร้าง   พระวิษณุ โดยการปกป้องรักษา พระศิวะ โดยการทำลายล้าง
ลักษณะของการปฏิบัตินั้น เน้นเรื่องพิธีกรรมต่างๆ เครื่องสังเวย บวงสรวง
.....................................................................................

การกำเนิดของทวยเทพและวิญญาณ(the story of god and satellites) ในคัมภีม์มหาสีหนาทสูตรได้กล่าวไว้ว่า การกำเนิดของทวยเทพและพรหมล้วนอาศัยอำนาจแห่งกรรม เป็นการเกิดในภพแบบ โอปปาติกะ  ความเป็นอยู่ของเทพไม่รับอาหารทางกายหยาบ ทุกสิ่งล้วนเป็นทิพย์ เนื่องด้วยเทพท่านเป็นการดำรงอยู่ด้วยกายทิพย์นั้นเอง
ลักษณะทางสังคมของเทพ จะพบว่ายังมีเรื่องของโลกีย์ ในชั้น
จตุมหาราชิกา มีการเสพเมถุนแต่ไม่มีน้ำอสุจิ
มายา           ไม่มีการเสพเมถุน เป็นไปในลักษณะเคล้าคลอ กอดรัด
ดีสิตา           ไม่มีการเสพเมถุน เพียงแค่สบตา
ปริมิตสวัสดี     ไม่มีการเสพเมถุนเลย

 ................................................

ศาสนาพรหมณ์หรือลัทธิ พรหมณ์มีมาก่อนพุทธกาล และได้เจริญสูงสุดในสมัยพระพุทธเจ้าองค์ที่สาม นามว่า พระทีปังกาโร (พระทีปังกร) ส่วนพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันทรงพระนามว่า พระสมณโคดม เป็นพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ในลำดับที่ ๒๗ วิชาที่พราหมณ์ใช้ ส่วนหนึ่งเรียกว่า อวิชา หรือไสยเวทย์ และเครื่องรางของขลัง  ซึ่งสามารถใช้ทำร้ายผู้อื่นได้หรือให้คุณผู้อื่นได้ ในเวลาเดียวกัน
        ในอดีต เมื่อยังไม่มีพุทธศาสนา คือนับแต่สิ้นพระพุทธเจ้าองค์ที่สาม พราหมณ์ โยคี ดาบส กลับมีอำนาจมากมาย เกิดการแย่งชิงอำนาจในระหว่างกลุ่มชนหรือประเทศต่างๆ พราหมณ์ โยคีหรือดาบส นักพรตต่างๆ ได้ครองอำนาจบางคนเป็นปุโรหิต ผู้นำด้านอาคมบ้าง ต่างได้จัดทำของขลัง วัตถุอาถรรพ์ ตะกรุด มีดหมอ เพื่อปลุกขวัญกำลังใจเหล่าทหารๆ ได้นำติดตัวออกรบในสงครามจนได้ชัยชนะ ต่างพากันประจุอาคมลงในวัตถุดังกล่าว จนเป็นที่กล่าวขวัญยอมรับ
     จนเกิดการประกอบพิธีกรรมต่างๆเช่น ศาลหลักเมือง พิธีวางศิลาฤกษ์ ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองตลอดจนทำวัตถุมงคลออกแจกจ่ายให้ประชาชน เหล่าทหาร เพื่อให้เกิดกำลังใจ และรวมเป็นหนึ่งเดียวกันของวัฒนธรรม 
     เครื่องลางของขลังมีผล ป้องกันภัยหรืออย่างไรดังนี้ครับ
๑. ด้านคงกระพันชาตรี ยิงฟันไม่เข้า ส่วนมากจะเกิดผลต่อหน้าครูอาจารย์เพราะ ผลทางความศรัทธา เชื่อมั่น ไม่สงสัยครับ หากไกลหรือลับหลังครูมักไม่ได้ผลดีเท่าที่ควรครับ เช่นเมื่อสักยันต์เสร็จใช้มีดฟัน หรือเชือดคอเป็นต้น ส่วนเรื่องกระสุนปืน หากถูกลอบยิง นัดแรกๆมักด้านครับ หากผู้ถูกยิงรู้ตัวแล้วหันหลังกลับไปดู นัดต่อไปมักโดนเสมอครับ
๒. เรื่องทางด้านแคล้วคลาดจากอุบัติภัยต่างๆ
๓. เรื่องทางด้านเมตตามหานิยม

๔. ความเป็นมหาอุตม์ มีผลมาจากข้อหนึ่งแต่มากกว่าเรื่องฤทธิ์ มาจากเครื่องลางนั้นๆได้จัดทำขึ้นด้วยศาสตร์ลึกลับ จากพวกโยคี จอมขมังเวทย์ต่างๆ ซึ่งจัดทำขึ้นด้วยหลักวิชาต่างๆดังนี้
ก. การผสมธาตุต่างๆ (มวลสาร) ซึ่งต้องจัดหามาโดยสามารถรับถึงพลังงานต่างๆได้ โดยใช้ลมปราณเป็นสื่อในการจัดทำ  (pranic energy ) สำหรับ ผู้ประกอบพิธี หากเป็นผู้ที่ได้กำเนิดในฤกษ์ที่เหมาะสม ได้บำเพ็ญตนในทางพิธีย่อมให้ผลดีมากครับ
ข. การใช้พลังของกระแสจิต การนั่งปรกเพื่อรวบรวมพลังงานบรรจุลงในวัตถุต่างๆ ผู้ประกอบพิธี หากเป็นผู้ที่ได้กำเนิดในฤกษ์ที่เหมาะสม ได้บำเพ็ญตนในทางพิธีย่อมให้ผลดีมากครับ

ค. การใช้พลังลมปราณ (pranic energy ) เพื่อรวบรวมพลังงานบรรจุลงในวัตถุต่างๆ ผู้ประกอบพิธี หากเป็นผู้ที่ได้กำเนิดในฤกษ์ที่เหมาะสม ได้บำเพ็ญตนในทางพิธีย่อมให้ผลดีมากครับ โดยสายญาณของลมปราณแบ่งออกเป็น๖ สายญาณด้วยกัน 
ง.การตั้งธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ในวิชาไสย์เวทย์
จ. การบรรจุด้วยวิธี สัก เสก เลข ยันต์ คาถา ทิพย์มนต์
ฉ. การใช้วิชาลึกลับบรรจุลง วิชาอิลละมู วิชาเรยูกูระบัด ผสมเข้าด้วยกันทั้งสอง

สำหรับ ผู้ที่นำไปใช้หรือพกพาติดตัว วัตถุอาถรรพ์เหล่านี้จะส่งพลังงานออกมาเมื่อได้รับการกระตุ้นด้วยสารอะดรีนา ลีนเพราะ ฮอร์โมนตัวนี้จะทำให้ปริมาณน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น คือจะเปลี่ยน glycogen เป็น gluclose เป็นผลให้กล้ามเนื้อมีแรงมหาศาลครับ เหล่านี้จะก่อให้เกิดแรงกระตุ้น(stumulator) ทำให้จิตเกิดพลังมหาศาลเหนือสภาวะจิตสามัญหลายร้อยเท่า ดังจะเห็นเช่นคนลงหนุมานสามารถปีนเสาไฟได้อย่างรวดเร็วเป็นต้น บางท่านลงทรงสามารถใช้เข็มแทงตามร่างกาย
คำแนะนำสำหรับท่านที่สวมวัตถุมงคลหรืออื่นๆ ให้กล่าวคำอาราธนา 
พุทธังอาราธนานังโลเกมิ  ธัมมังอาราธนานัง โลเกมิ สังฆังอาราธนานัง โลเกมิ
เพื่อให้จิตของท่านตั้งมั่น ไม่ประพฤติกรรมชั่ว มุ่งแต่กรรมดี มีจิตที่เบิกบานครับ

**************************************

สำหรับการศึกษาข้อธรรมต่างๆ วิชาต่างๆ มีข้อหน้าสนใจหลักๆดังนี้
๑. การปฏิบัติจิตเข้าสู่ประตูพระนิพพาน ตามหลักวิปัสนากรรมฐาน the process of mind purification in buddhis meditation
๒. การรักษาโรคด้วยอำนาจจิต และตามหลักโยคศาสตร์ 
๓. พระธาตุและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ปาฏิหาริย์
๔. การกำเนิดของทวยเทพในศาสนาต่างๆ
๕. กำเนิดพระภูมิประจำบ้าน
๖. เรื่องยาสั่ง
๗. อิทธิวิธีและเดรัจฉานวิชา white and black magic
๘. อำนาจของคุณไสย์ต่างๆ the influence of the black magic
..........................................................

ในประเทศไทย ยึดมั่นศาสนาพุทธเป็นหลัก ซึ่งมีอยู่สองนิกายคือ มหายาน กับหินยาน ศาสนาพุทธในประเทศไทย เป็นฝ่ายเถรวาท ส่วนศาสนาพุทธในธิเบตได้ผสมผสานศาสนาพราหมณ์เข้าด้วยกัน ได้มีการนำเอาพรหมหรือเทวดาบางองค์ที่มีฤทธิ์มากตั้งเป็นพระโพธิสัตว์ ปรมาจารย์ผู้สร้างพระไตรปิฏกทางศาสนาพุทธให้ประเทศธิเบต มีสองท่านคือ องค์คุรุปัทมะภพและองค์นาครชุน ทั้งสองท่านนี้นับถือศาสนาพราหมณ์มาก่อน เดิมอาศัยอยู่ทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย ในกาลต่อมาได้ไปอาศัยอยู่ในธิเบต สืบต่อมามีความเลื่อมใสศาสนาพุทธ จึงได้นำหลักของศาสนาทั้งสองผสมผสานเข้าด้วยกัน เรียกขานกันทางตอนเหนือของประเทศอินเดียว่า พุทธศาสนาวัชรญาณ ครับ จุดมุ่งหมายในปลายทางในการปฏิบัติแตกต่างกับศาสนาพุทธในประเทศไทย ทางวัชรญาณ มุ่งไปที่สวรรค์ชั้นสูง ส่วนทางไทยมุ่งไปสู่การนิพพานครับ 
  พุทธศาสนาวัชรญาณ (มหาญาณ) 
                           เวลาช่วง ๙.๐๐ -๑๒.๐๐ น มุ่งเน้นทางหลักศาสนากับครูอาจารย์
                           เวลาช่วง ๑๔.๐๐ --น. เน้นทางประทับทรง รักษาคน พยากรณ์ ทำเครื่องลางของขลัง (โลกียยาน)
  พุทธศาสนาในไทย (เถรวาทหรือ หินยาน)  
                           เวลา ๖.๓๐-๘.๐๐ น. บิณฑบาตร ฉันภัตตาหารเช้า
                           เวลา ๙.๐๐--น. รับกิจนิมนต์ต่างๆ
                           เวลา ๑๑.๐๐-น. ฉันเพล 
                           เวลา ๑๓.๐๐ น. จำวัตร หรือศึกษาพระธรรม วิปัสนากรรมฐาน (วิปัสนาญาณ)
จะเห็นว่า ไม่มีกิจเรื่องดูดวง วัตถุมงคล หรือการยกขันธ์ กล่าวในกิจของสงฆ์สายเถรวาทแต่อย่างใด
หากใช้ผสมกันเมื่อใด ก็คงเสมือนเป็นทั้ง ลามะและพระสงฆ์ ในกายแห่งตนครับ....
   แต่ในกาลต่อมาจนถึงปัจจุบัน จะพบว่ามีวัตถุมงคลต่างๆออกให้บูชา ด้วยมีเจตนารมณ์ในเชิงบุญ ให้ เป็นที่ยึดเหนี่ยว ในฝ่ายเถรวาท แต่หากไม่ทิ้งแนวทางแห่งวิปัสนากรรมฐาน ผลแห่งการนิพพาน จึงพบว่า การผสมผสานโดยไม่ทิ้งจุดยืน เป็นที่ยอมรับครับ ดังนั้นท่านผู้อ่านพึงพิจารณาเอาครับ ว่าท่านจะเลือกวางแนวทางของศรัทธา เชื่อมั่น ไม่สงสัย อย่างไร การอ่าน ศึกษา และเปิดใจให้กว้างเป็นแนวทางแห่งปัญญาโดยแท้ครับ สาธุการ
พุทธมีสองนิกายเท่านั้นครับ นอกนั้นไม่ใช่พุทธครับเป็นแค่ลัทธิเท่านั้นครับ

...........................................................

ต่อมาคงต้องมาดูถึงร่างทรง เป็นเรื่องเหนือจินตนาการครับ ต้องสัมผัสหรือรับรู้ด้วยตนเองครับ  คนที่มีองค์หรือร่างทรงจะมีการบูชาองค์เทพหรืออะไรก็ตามแต่ที่เขาเหล่านั้นมีความเชื่อนับถืออยู่ แต่มิได้หมายเอามาเปรียบกับพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นของสูงเป็นศาสนาประจำตนอยู่ในใจของคนไทยทั้งหลายทั้งปวง .. เรื่องการบูชาเทพ ไหว้ผี ผีบุญ ผีป่า ผีตาโขน ผีบ้านผีเรือน เป็นความเชื่อเลื่อมใสในแต่ละท้องถิ่นซึ่งแตกต่างกันไป... มีหลายคนที่บอกหรือกล่าวถึงการทรงทรงเจ้าว่าผิด ต้องอย่างนี้ซิถึงว่าถูก ... เรียกว่าอคติ ดีแต่ตัวชั่วคนอื่น ของทุกอย่างมีดีมีเสียครับ อย่างพระที่บวชดูตามเฟสตามยูทูบเสียก็มี... บางคนว่า ว่าพระแล้วไม่ดีบาปเสียหาย แบบนี้ศาสนาจะมัวหมองได้ครับ ทุกอย่างขึ้นกับผู้นำไปปฏิบัติ คงต้องยึดหลักธรรมอยู่ดี คือ ทำดี-ได้ดี ทำชั่ว-ได้ชั่วครับ 

    ร่างทรงไหว้ครูจะพบเห็นร่างทรงต่างๆ จะมีการไปร่วมไปงานพิธีชึ่งกล่าวกันว่า เป็นงานไหว้ครู โดยทั่วไปปกติจะมีกำหนดไว้ 2 วันเท่านั้นคือ วันพฤหัสบดีและวันอาทิตย์ นี่คือหมายความว่าครูที่ไหว้กันเป็นครูสายฤาษี หรือสายบารมีโดยตรง และพบเห็นว่ามีการไหว้ครูในวันอื่น โดยกำหนดเอาวันขึ้น- แรม ของเดือนนั้นๆทุกปี นี่ส่วนมากเป็นงานไหว้ครูของตำหนักต่างๆ เพื่อให้ง่ายต่อการจดจำของลูกศิษย์ จะได้ไม่พลาดงานของสำนักตน ถ้ามีการออกการ์ดเชิญไปไม่ทั่วถึง 

   รูปแบบงานไหว้ครู  พบเห็นโดยส่วนมากแบบแรก
๑. จัดเป็นสองวันตัวอย่างเช่น พุธกลางวันจนพลบค่ำและพุธกลางคืน(มีการดนตรีเรียกว่าเทพบันเทิง)ถึงเที่ยงคืนจึงหยุดต่อพฤหัสบดีกลางวันอีกหนึ่งวัน เป็นช่วงพิธีกรรมและครอบครู

๒. จัดแบบหนึ่งวันหนึ่งคืนเช่น พฤหัสบดีเช้าจนถึงเย็น (เป็นช่วงพิธีกรรมและครอบครู) จากนั้นในช่วงกลางคืนจนถึงเที่ยงคืนวันพฤหัสบดี(มีการดนตรีเรียกว่าเทพบันเทิง)
๓. จัดแบบหนึ่งวันเช่น วันพฤหัสบดีกลางวัน (เป็นช่วงพิธีกรรมและครอบครู) ไม่มีเทพบันเทิงครับ
๔. จัดหลายวัน บางที่มีศิษย์มากจัดหลายวันแล้วแต่ทางสำนักกำหนด เหมือนงานวัดครับ ลักษณะนี้เป็นสำนักแบบมีเครือข่าย จะมีเจ้าสำนักจากที่ต่างๆเดินทางมาร่วมงาน บางที่เรียกได้ว่างานระดับจังหวัดครับ

รูปแบบของงาน พบว่ามีลักษณะต่างใกล้เคียงกันมีแปลกไปบ้าง จำแนกดังนี้
๑. ก่อนวันงานมีบวงสรวงเปิดฟ้า
๒. มีรำสี่ภาคถวาย
๓. มีเชิญพระมาสวด เลี้ยงถวายภัตตาหาร
๔. มีเชิดสิงห์โต แทงกระตั้ว
๕. มีเชิดกลองยาว
๖. มีหมอทำขวัญมาสวดเชิญโองการ 
๗. เจ้าพิธีเชิญโองการเอง
๘. มีพิธีทุบมะพร้าว บูชาพระคเนศและองค์เทพต่างๆ
๙. การทำโซฮา
๑๐. การทำอารตี
๑๑. เจ้าสำนักลงพิธีเรียกขวัญ ครอบครู
๑๒. ปลุกเสกวัตถุมงคล
๑๓. เจิมรถ รับผ้าป่า(สายพระ)
๑๔. พิธีกรรมต่างๆที่แปลกพิศดาร ออกไป เช่น ฟันหัวควาย แทงจรเข้ แทงดาบเข้าตัวหรือตามส่วนต่างๆของร่างกาย หรือที่เรียกว่ากุมารถวายเข็ม บางที่เป็นตลาดใหญ่ชุมชนก็จัดงานเป็นการใหญ่โตเพื่อให้พ่อค้าแม่ค้ามีขวัญกำลังใจ ขายดิบขายดี และเป็นการให้ลูกค้าที่ตลาดได้มีการมาร่วมพิธีเรียกว่าวัฒนธรรมในชุมชนไปเลยครับ หรืออื่นๆที่ดูแล้ว บางคนก็ต้องบอกว่าเอาที่สบายใจครับ บางคนก็ด้วยศรัทธา หรือจะอะไรก็ตามครับที่ไม่ขัดต่อสิทธิเสรีภาพ ไม่มีผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษก็ไม่ว่ากันครับ ปีนี้2017แล้วครับ ยุคโลกาภิวัฒน์ อะไรๆก็ปรับเปลี่ยนไปตามกาลเวลา จนบางทีก็นึกไม่ถึงครับ

...........................................

การนับถือบูชา คงต้องดูที่วัตถุประสงค์เจตนารมณ์ ของคนที่เข้าพบร่างทรง หรือบูชาลัทธิต่างๆว่าต้องการแบบใด บางคนต้องการกิเลส กามตัณหา หวังร่ำรวย เสี่ยงโชค แย่งผัวแย่งเมีย แบบนี้ ไปวัดคงไม่ใช่แนวทางเพราะเป็นอบายล้วนๆ บางคนบอกไม่ทานเนื้อสัตว์ ธรรมธัมโม แต่มีผัว-มีเมียกันหลายคนเปลี่ยนง่ายเหมือนเปลี่ยนรองเท้าก็มี สำหรับผู้ที่ชอบแจ้งว่าตัวเองบรรลุธรรม ก็ขอให้ท่านอยู่ในที่ของท่านอย่ามาแปดเปื้อนกับโลกีย์นี้เลยครับ เอาเวลาไปทำผ้าป่า กฐิน โรงทานจะเหมาะกว่าครับ ท่านห้ามคนทั้งโลกไม่ได้ครับ แต่สามารถห้ามใจตัวเองได้ครับ ปฏิบัติให้เป็นต้นแบบที่ดี คนอื่นเห็นย่อมทำตามครับ บางท่านไม่มีอะไรจะทำ เที่ยวไปด่าคนโน้นคนนี้ จับผิดไปทั่วหวังเพียงให้ตัวเองเป็นที่รู้จัก พอมีชื่อเสียงก็ออกผลิตภัณท์ของตัวเองออกจำหน่าย มีครับบางท่านบอกอาจารย์ว่าเขาไม่ใช่ร่างทรง เขาเป็นเทพเลยไม่ใช่ร่างทรงครับปฏิบัติดีอีกนิดจะกลายร่างเป็นเทพเขาเลยครับ สาธุกราบครับ
....................................

ร่างทรงเจ้าตำหนัก .... อาจารย์พบเห็นมามากพอสมควร มีในแบบขององค์เทพต่างๆ เจ้าพ่อเจ้าแม่ ฤาษีต่างๆ พระลงทรงในฤาษี สักยันต์ บ้างก็อ้างเบื้องสูงทรงพระมหากษัตริย์ บางครั้งการปฏิบัติของเจ้าตำหนักนั้นๆ หากขาดการไตร่ตรอง เมื่อมีสมาคม เข้าร่วมพิธีชุมนุม ต่างแข่งกันอวดบารมี พิธีกรรมต่างๆย่อมเลยเถิดไปเกินกว่าจะรับได้ก็มีครับ
...........................................
สำหรับการลงทรงหรือพิธีกรรมต่างๆ ของสำนักหรือตำหนักนั้นๆ หากไม่เกินหรือส่อไปในทางผิดกฏหมายก็คงไม่ว่าอะไรกัน เพราะเขาใช้เงินของเขา และบูชาในที่ของเขาเหล่านั้น... หากสำนักนั้นๆประพฤติในทางเสื่อมไม่นานศิษย์ของเขาเหล่านั้นจะเป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษเองครับ เรียกว่าแพ้ภัยตัวเอง ท่านทั้งหลายเป็นผู้เจริญแล้ว อย่าไปริษยาครับ .. แต่ถ้าตั้งใจทำเหล็กไหลหยอดมาทางรู นำออกขาย แบบนี้หลอกลวงน่าติดคุกครับ... สำหรับสำนัก หรือธรรมอันใดจะด้วยกายหรือพลังจิตอันใดก็ตาม หากท่านว่าท่านเป็นของจริงแล้ว จงแสดงธรรมของท่านให้เป็นที่เลื่องลือครับ
..........................................

มองที่ร่างทรง เจ้าตำหนัก คณาจารย์ชั้นสูง กว่าท่านจะมาถึงจุดนี้ ไม่ใช่เรื่อง่าย แต่สิ่งเหล่านี้จะพังทลายได้ลงในพริบตา ถ้าใจท่านง่ายพ่ายแพ้แก่กิเลสตันหา สีเดียวที่ผู้ทรงศีลพ่ายแพ้คือสีกา แม้ผู้มีฌานอันแกร่งกล้ายังสั่นไหว ผู้คนจะสาปแช่ง ไม่เว้นแม้แต่สวรรค์ก็คงต้องสาปท่านไปชั่วกัลป์ชั่วกัลย์ครับ ศิษย์ทั้งหลายพึงตระหนัก ยามเมื่อท่านเติบโตกล้าแข็งแล้วกลับมาให้ร้ายครูอาจารย์ บางท่านกล่าวว่า ผมมาอยู่กับอาจารย์ตั้งแต่ผมยากจนเป็นหนี้เป็นสินติดค้างค่างวดทั้งบ้านและรถก็หลายเดือน ยามผมเป็นทุกข์ผมก็มานั่งคุยบ้านอาจารย์ทุกวันไม่เคยคิดว่ารบกวน จนบัดนี้ ผมร่ำรวยมีบ้านมีรถราคาแพงหลายคัน  ผมทำให้อาจารย์ดูดี อาจารย์ยังจะมีหน้ามาขอค่าครูอีกหรือ สาธุครับ อาจารย์คงผิดจริงครับ 
...................................

หมายเหตุ กรณีที่กล่าวมาข้างต้น ร่างทรงมิใช่ม้าทรง ที่รับใช้ตามศาลเจ้าจีน หรือผู้ดูแลเทวสถานเป็นคนละกรณีกันครับ
หน้าแรก | ดูบทความทั้งหมด
# 1
By หมอยา
On 2017-07-30 16:06:57


บทความแนะนำ

รวมบทความ

แปลภาษา
ติดตามข่าวสาร
ติดตามข่าวสารที่ทวิสเตอร์  Page Ranking Tool